หลังจากที่เรามาถึงเชียงรายวันแรกและก็เที่ยววัดในเมืองและมานอนสูดอากาศบริสุทธิ์และหมอกเย็นๆ ที่ดอยแม่สลอง เช้านี้เราตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นและรับประทานอาหารเช้าเบาๆ รองท้องที่โรงแรมประมาณ 8 โมงเช้าเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับออกลัดเลาะกันต่อในวันนี้ (ที่กินน้อยเพราะว่าเราจะไปลองเมนูเด็ดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่บนดอยตอนสายๆ…เดี๋ยวจะอิ่มเสียก่อน) โดยก่อนที่จะกลับมา Cheak-Out เราขอไปที่หมายแรกของเราในวันนี้ก่อนคือวัดพระธาตุสันติธรรมที่อยู่ห่างจากโรงแรมเราไม่นาน ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เกิน 15 นาทีก็ถึงแล้ว
วัดพระธาตุสันติธรรมเป็นวัดที่สร้างใหม่ในเขตแม่สะลองนอก เป็นที่ประดิษฐานของพระมหาเจดีย์เทพนิมิตธรรม ตั้งอยู่บนดอยสูงที่สามารถเห็นวิวรอบข้างได้แบบพาโนรามา บริเวณวัดเงียบสงบ วันที่เราไปนั้นแทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลยเพราะเป็นวันธรรมดา สามารถเดินถ่ายรูปเลยกันแบบจุใจเลย จนมีหลวงพี่ท่านนึงแถวนั้นเดินผ่านมาถามเราพร้อมกับรอยยิ้มว่า “เป็นดาราใช่มั้ย…เห็นถ่ายรูปกัน” ก็เราตอบไปว่า “ไม่ใช่ครับ” ทางหลวงพี่ก็เล่าต่อว่า “ท่านมาจากกรุงเทพปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิที่วัดนี้ได้ประมาณเดือนนึงแล้ว เพราะสงบเงียบดี” จากนั้นก็คุยกันสักพักหลวงพี่ท่านก็ขอแยกตัวไปทำกิจของสงฆ์ต่อ เป็นมิตรภาพที่เราได้พบเจอระหว่างเที่ยวอีกแบบ 🙂




.
เราเดินเล่นและถ่ายรูปแบบแทบไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นเลยจนรอบพระธาตุและวัดเลย รู้สึกเงียบสงบเหมือนกับการได้ชื่อว่า “วัด” จริงๆ บางครั้งเดินๆ อยู่กลับรู้สึกใจเราก็สงบไปด้วย…รู้สึกดีจริงๆ จากนั้นพอสายๆ ก็กลับไปโรงแรมเพื่อเก็บข้าวของและเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมประมาณ 11 โมงและไปหามื้อเที่ยงแบบก่อนเวลากัน ซึ่งเป้าหมายทื้อเที่ยงของเราวันนี้คือ “พิซซ่าบนดอยแม่สลอง-ร้าน Xin Shi Dai Bakery” โดยร้านอยู่กลางหมู่บ้านเลย ขับผ่านเซเว่นจนเลยหัวโค้งไปอีหหน่อยก็ถึงแล้ว จริงๆ แล้วร้านนี้เป็นร้านเบเกอรี่ขายขนมปังและขนมเค้กทั่วไป แต่มีเมนูพิเศษคือ “พิซซ่ายูนนาน” ที่เจ้าของร้านคิดสูตรเอง แค่ได้ยินชื่อก็น่าลองแล้วว่าแล้วจึงสั่งมาหนึ่งถาดโดยไม่ลังเล (ขอเตือนคนที่คิดจะมาตอนหิวว่าอย่าหาทำ…เพราะใช้เวลารอพิซซ่านานประมาณ 45 นาที แต่รับรองว่ารสชาติและความพิถีพิถันและคุ้มแก่การรอคอยแน่นอน)



.
หลังจากที่จัดการพิซซ่ายูนนานจนสาแก่ใจและพุงกางแล้ว ก็พร้อมที่จะไปเที่ยวต่อ ซึ่งจุดหมายถัดไปของวันนี้คือ “พระตำหนักดอยตุง (Doi Tung Royal Villa)” การเดินทางก็ขับลงมาทางเดิมที่ถนนพหลโยธิน จากนั้นเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าอำเภอแม่สายจนถึงแยกดอยตุงก็เลี้ยวซ้ายขึ้นดอย ทางขึ้นดอยตุงไม่ค่อยคดเคี้ยวลาดชันเท่าแม่สลองและถนนค่อนข้างเรียบและกว้างเพราะเป็นเขตพระราชฐาน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงครับ ขับเรื่อยๆ ชิลล์ๆ
พระตำหนักดอยตุงสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 ตามพระราชดำริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) เพื่อทรงใช้เป็นที่ประทับตลอดจนทรงงานโครงการพัฒนาดอยตุงทั้งในเรื่องของการป่าไม้และการชลประทานเพื่อพัฒนาสภาพป่าเสื่อมโทรมและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนบนดอยจากการปลูกฝิ่นมาเป็นการปลูกพืชเศรษฐกิจแทน สิ่งที่น่าสนใจบนดอยตุงมีอยู่สามส่วนหลักคือ พระตำหนักดอยตุงอันเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จย่า หอพระราชประวัติและสวนแม่ฟ้าหลวง ค่าเช้าชมหากซื้อรวมกันทั้งสามที่สำหรับผู้ใหญ่ราคา 150 บาท ภายในพระตำหนักห้ามถ่ายรูปนะครับ ที่ระเบียงพระตำหนักสามารถมองเห็นวิวเทือกเขาฝั่งประเทศเมียนมาร์ได้แบบพาโนรามา ส่วนสวนแม่ฟ้าหลวงก็เป็นที่รวมของพันธุ์ไม้เมืองหนาวนานาชนิด ทั้งไม้ดอกและไท้ประดับ สีสรรสวยงามตลอดทั้งปี








.
จากนั้นช่วงประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ เราก็โบกมือลาพระตำหนักและสวนสวยบนดอกตุงเพื่อไปต่อยังอีกจุดหมายที่เราจะใช้ค้างคืนในวันนี้ นั่นคือ “ดอยผาฮี้” โดยใช้เส้นทางลัดเลาะบนเขาผ่านพระธาตุดอยตุง ซึ่งทางนั้นขับไม่ยากแต่ต้องระวังเพราะทางโค้งเยอะ แต่ทางผ่านจากดอยตุงไปดอยผาฮี้มีอีกจุดที่น่าสนใจคือ “ฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบ” ที่เป็นพื้นที่เฝ้าระวังชายแดนของทหารไทย แต่เปิดให้คนทั่วไปได้เข้าชมได้ฟรี เพราะวิวตรงนี้สามารถมองเทือกเขาฝั่งเมียนมาร์ได้แบบสุดลูกหูลูกตา และที่ตื่นเต้นคือเราสามารถไปยืนตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างเขตแดนไทยและเมียนมาร์ได้แบบใกล้ชิดแค่รั้วไม้ไผ่กั้นเท่านั้น ซึ่งจากดอยตุงมาที่จุดชมวิวดอยช้างมูบนั้นใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น




.
เราใช้เวลาไม่นานมากที่ดอยช้างมูบนี้ สักประมาณบ่ายสามโมงเศษเราก็มุ่งหน้าต่อไปยังดอยผาฮี้ ซึ่งขับรถต่อไปอีกเพียง 20 นาทีเท่านั้น เป็นการขับรถบนถนนเลียบชายแดนไทยไปตลอดทางพร้อมวิวทิวเขาสวย…..ฟินมาก 🙂
เรามาถึงบ้านผาฮี้กันประมาณก่อนบ่ายสี่โมง จากนั้นก็ไปเช็คอินเข้าที่พักกัน โดยเราจองที่พักไว้ที่ Coffee Hill Pha Hee ที่อยู่ โดยที่พักบนดอยผาฮี้เกือบทั้งหมดเป็นแบบ Homestay ราคารวมอาหารเย็นและอาหารเช้าไว้แล้ว ทุกที่ราคาเเทบจะเท่ากันหมดคือ 750 บาทต่อคนต่อคืน (อย่างน้อยสองคนขึ้นไป หากมาคนเดียวคิดราคา 1,200 บาทต่อคนต่อคืน) จุดเด่นของที่พักทุกที่คือจะมี “กาแฟ” ที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละที่ และแทบทุกที่ตั้งอยู่บนเขาสามารถเห็นวิวได้แบบราคาหลักล้าน ที่สำคัญ ! ที่พักทุกที่เต็มข้ามเดือนข้ามปี ต้องจองล่วงหน้านานมาก ถ้าเอาชัวร์ก็ประมาณ 3 เดือนล่วงหน้าสำหรับพักวันธรรมดา หากจะพักวันหยุดสุดสัปดาห์/นักขัตฤกษ์/หยุดยาว อาจจะต้องจองล่วงหน้ากว่า 6 เดือนครับ
หลังจากที่เช็คอินเอาของไปเก็บที่ห้องพักแล้ว ก็ยังมีเวลาช่วงเย็นให้เดินเล่นในหมู่บ้านและกินกาแฟพร้อมวิวเหมือนดุจอยู่บนสวรรค์กันครับ ช่วงตอนกลางวันนั้นดอยผาฮี้คนจะเยอะมาก เพราะนักท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับเยอะ ส่วนช่วงเย็นคนจะน้อยลง ความสงบจะมาเยือนหมู่บ้านพร้อมอากาศเย็นสบายบนยอดดอยที่สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,300 เมตร…..เหมือนเราได้หยุดเวลาหายใจเอาพลังงานความสดชื่นเข้าสู่ร่างกายแบบเต็มที่…..มีความสุขมากจริงๆ ตั้งแต่ดื่มกาแฟเอาขาห้อยชมวิวพร้อมอ่านหนังสือ เดินดูวิถีชีวิตของชาวบ้าน และไปยังสะพานไม้ไผ่ใกล้ๆ กับที่พักเรา อันเป็นแลนด์มาร์คที่ใครมาก็ไม่ควรพลาด 😉









.
หลังจากที่เดินเที่ยวกันรอบหมู่บ้าน (ทางในหมู่บ้านเล่นระดับพอสมควรเดินแล้วพิสูจน์กำลังขาได้ดีจริงๆ 😛 ) ประมาณสักหกโมงครึ่ง ตะวันเริ่มตกดินเราก็กลับไปที่โฮมสเตย์ของเราเพื่อพักผ่อน และเตรียมรับประทานอาหารเย็น โดยที่นี่เขาจัดเป็นชุดเลยพร้อมเครื่องดื่มฟรี ขอบอกว่าปลาทอดสมุนไพรอร่อยมาก

.
เทื่อท้องอิ่ม….ความมืดมาเยือน….ความสงบก็ย่างกรายเข้ามาสู่จิตใจ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การนั่งเงียบๆ คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ได้เป็นอย่างดี บางครั้งก็พาลให้คิดไปว่า “ชีวิตนี้ก็ไม่ได้ต้องการความสุขอะไรที่มันมากไปกว่าความว่างเปล่าเลย เมื่อจิตใจเราว่างเปล่าความสุขก็จะเข้ามาในใจเอง” เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วเราก็พร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปอย่างไม่ต้องคาดหวังอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ อยู่กับตัวเราเองและปัจจุบันอย่างมีสติ…เท่านี้ความสุขก็ไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินเอื้อม นอนหลับฝันดีไปอีกคืนครับ 🙂
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
SHIPY SIWARIT TIASUWATTISETH : เขียน