สหรัฐอเมริกา (USA)……..ดินแดนแห่งเสรีภาพและประเทศมหาอำนาจของโลกที่ไม่มีใครไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินชื่อประเทศประเทศนี้ การได้ไปท่องเที่ยวหรือไปเยือนเมืองลุงแซมสักครั้งในชีวิตนั้นก็เป็นหนึ่งในความฝันของใครหลายคน แต่สหรัฐอเมริกานั้นถึงแม้จะเป็นประเทศแห่งเสรีภาพแต่ก็ได้ขึ้นเรื่องความ “เคี่ยว” และความ “ยาก” แทบจะที่สุดในโลกในการอนุมัติวีซ่าให้กับผู้มาเยือน ทั้งนี้ด้วยเหตุผลหลายประการทั้งเรื่องของมาตรการรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงของชาติ และการคัดกรองผู้ที่ต้องการลักลอบหนีวีซ่าเพื่อพำนักอยู่ที่อเมริกาแบบถาวร (หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “โรบินฮู้ด”) ดังนั้นการดำเนินการขอวีซ่าที่ถึงแม้เราจะแค่ต้องการไปท่องเที่ยว (วีซ่าประเภท B2) ก็ตามนั้นเราจำเป็นที่จะต้องเตรียมความพร้อมทั้งเรื่องของข้อมูลและเอกสารให้สมบูรณ์มากที่สุดเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าเรามีวัตถุประสงค์แค่ไปท่องเที่ยวและจะกลับออกจากอเมริกาทันทีหลังจากการท่องเที่ยวเราได้สิ้นสุดลง และหากใครหาข้อมูลมาจากหลายๆ แหล่งก็มักจะได้ยินเป็นเสียงเดียวกันว่า “การวีซ่าอเมริกา…นี่มันยากที่สุดในโลกแล้ว” แต่ถ้าหากเราเตรียมตัวทุกอย่างให้ดีแล้ว ผมกลับมองว่ามันก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่เลย และเราสามารถได้วีซ่า 10 ปี แบบ Multiple Entry มาครองได้แบบภาคภูมิใจและคุ้มค่าเงินที่จ่ายไป ดังนั้นผมจึงทำรีวิวการขอวีซ่าท่องเที่ยว/เยี่ยมเยือนอเมริกาแบบละเอียด (ประเภท B2) นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจครับ โดยผมจะอธิบายตั้งแต่เริ่มเตรียมตัวและชี้แจงวิธีการกรอกข้อมูลและเอกสารแบบทีละขั้นกันเลย ถ้าพร้อมแล้วเรามาเริ่มกันเลยครับ 🙂
กระบวนการและขั้นตอนการยื่นวีซ่าท่องเทียวอเมริกา (ประเภท B2) นั้นเราสามารถแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลักได้ดังนี้
- กรอกแบบฟอร์มข้อมูลส่วนตัวและวัตถุประสงค์การขอวีซ่า (แบบฟอร์ม DS-160)
- ไปชำระเงินค่าธรรมเนียมวีซ่า
- ทำนัดสัมภาษณ์กับสถานทูต
- ไปสัมภาษณ์และทราบผลวีซ่า

โดยในแต่ละขั้นตอนผมจะอธิบายกระบวนการอย่างละเอียดที่สุดเสมือนว่าผมไปนั่งข้างๆ เพื่อคอยแนะนำกันเลยทีเดียว เมื่อพร้อมแล้วเราก็ไม่รอช้า ไปเริ่มขั้นตอนแรกกันเลยดีกว่า 😛
.
1. การกรอกแบบฟอร์มข้อมูลส่วนตัวและวัตถุประสงค์การขอวีซ่า (DS-160)
กระบวนการนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด (สำคัญกว่าการสัมภาษณ์กับกงสุลที่สถานทูตเสียอีก…ผมขอยืนยัน) เพราะเป็นขั้นตอนที่กงสุลใช้เป็นข้อมูลหลักในการอนุมัติวีซ่าให้กับเรา ดังนั้นข้อมูลที่กรอกในแบบฟอร์ม DS-160 นั้นจะต้องตรงกับความเป็นจริงเท่านั้น และแนะนำให้เรากรอกเอง เพราะไม่มีใครรู้จักตัวเราเท่ากับตัวเราเองและข้อมูลส่วนนี้อาจจะถูกสุ่มถามอีกครั้งตอนเราไปสัมภาษณ์ด้วย และสิ่งสำคัญอีกอย่างคือพาสปอร์ตเล่มปัจจุบันต้องอายุเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือนด้วย หากใครอายุพาสปอร์ตเหลือน้อยกว่า 6 เดือนก็แนะนำว่าไปทำเล่มใหม่ให้เรียบร้อยก่อนครับ
*****
ก่อนที่เราจะกรอกข้อมูล DS-160 เราต้องเตรียมรูปถ่ายไว้ก่อนครับ โดยรูปถ่ายนั้นต้องมีขนาด 2 x 2 นิ้ว พื้นหลังสีขาว หน้าตรง ไม่สวมแว่นหรือหมวก ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน โดยให้สแกนเป็นไฟล์ .JPEG เก็บไว้ก่อนเลย เราสามารถตรวจสอบว่าไฟล์รูปของเราขนาดและลักษณะได้ตามที่กำหนดหรือไม่ โดยคลิกที่นี่แล้วลองอัพโหลดและดูผลการทดสอบได้เลย (เป็นเว็บของสถานทูตเอง)
*****
การกรอกข้อมูลในแบบฟอร์ม DS-160 นั้นเป็นการกรอกแบบออนไลน์ทั้งหมด และก่อนหรือระหว่างการกรอกอาจจะมีให้เราคอยกรอกข้อมูล CAPCHA เพื่อยืนยันว่าเราไม่ใช่ Robot แทรกอยู่ในบางขั้นตอน ก็ขอให้อดทนและกรอกตามที่ระบบขอมานะครับ (บอกตรงๆ ว่าบางทีผมก็หงุดหงิดเล็กๆ เหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะถามอะไรบ่อยขนาดนั้น 🙂 ) และข้อมูลที่กรอกทั้งหมดต้องเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้นนะครับ เว้นเสียแต่ว่ามีระบุให้กรอกเป็นภาษาอื่น และระหว่างกรอกสามารถกดปุ่ม Save ที่อยู่ด้านล่างของแต่ละขั้นตอนได้เรื่อยๆ หากกรอกไม่เสร็จสามารถกลับมากรอกใหม่ได้ ไม่ต้องกังวล (ไม่จำเป็นต้องกรอกให้เสร็จภายในรวดเดียว)
เริ่มจากที่เราเข้าไปที่ลิงค์นี่เพื่อเริ่มกรอกแบบฟอร์ม DS-160 ครับ https://ceac.state.gov/genniv (เข้าไปครั้งแรกก็อาจจะมี CAPCHA ให้เรากรอกยืนยันว่าเราไม่ใช่ Robot ก่อนครับ)
เมื่อเข้ามาแล้วหน้าแรกจะให้เราระบุสถานทูตหรือสถานกงสุลที่เราสะดวกไปติดต่อและสัมภาษณ์ ซึ่งในประเทศไทยมีอยู่ 2 ที่คือกรุงเทพ (ถนนวิทยุ) และเชียงใหม่ (ถนนวิชยานนท์) ก็ให้เราเลือกสถานที่ที่เราสะดวกไปสัมภาษณ์ที่สุดครับ

.
หน้าต่อมาระบบจะให้เราตั้งคำถามส่วนตัวและระบุคำตอบที่เฉพาะเราเท่านั้นที่รู้ เพื่อเอาไว้ใช้สำหรับการ Login เข้ามากรอกแบบฟอร์มต่อหากยังกรอกไม่เสร็จ และให้หมายเลข Application ID (หมายเลขแบบฟอร์ม DS-160 ของเรา) ไว้ด้วย เพราะต้องใช้เลขนี้สำหรับการทำนัดสัมภาษณ์ด้วย

.
ถัดมาเราจะต้องกรอกชื่อ วันเดือนปีเกิด และสถานที่เกิดของเรา

.
หน้าต่อมาเราจะต้องกรอกข้อมูลเรื่องสัญชาติและหมายเลขบัตรประชาชนของเรา

.
ต่อมาเราจะต้องระบุประเภทวีซ่าที่เราจะขอ และหากเราได้กำหนดวันเดินทางไปกลับแล้วให้เราระบุวันเดินทางรวมถึงเมืองที่จะเดินทางเข้าออกและเที่ยวบิน และให้เราระบุว่าใครเป็นผู้อกค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางและค่าครองชีพที่นั่นด้วย

.
ต่อมาระบบจะถามเราว่ามีคนเดินทางไปด้วยกับเราหรือไม่ (หากมีตอบ Yes และใส่ข้อมูลของคนคนนั้น)

.
ถัดมาจะเป็นการให้ข้อมูลว่าเราเคยไปหรือเคยได้หรือเคยถูกปฏิเสธวีซ่าอเมริกาหรือไม่ (ทุกคำถามในส่วนนี้เป็นแบบ Yes/No หากตอบ Yes เราจะต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วย)

.
ต่อมาเป็นการให้ข้อมูลที่อยู่อาศัยปัจจุบันของเรา รวมถึงข้อมูล Social Media (เช่น Facebook, Instagram, LinkedIn, Pinterest…..) ของเรา – ข้อมูลด้าน Social Media เป็นกฎใหม่ที่เพิ่งมีไม่นานมานี้ครับ (กรอกตามจริงนะครับ Facebook หรือ Instagram ปลอม/Avatar นั้นห้ามเด็ดขาดครับ)

.
ขั้นตอยต่อไปคือให้เรากรอกข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ของเราครับ

.
ต่อมาเราจะต้องให้ข้อมูลของบุคคลที่สามารถติดต่อไปในสหรัฐอเมริกาเมื่อเราไปถึงที่นั่น หากไปพักกับเพื่อนหรือญาติให้ใส่ข้อมุลของเพื่อนหรือญาติลงไป หากไปพักโรงแรมให้ใส่ข้อมูลของโรงแรม หรือใส่ข้อมูลของสถานทูตไทย ณ เมืองที่ใกล้ที่สุดกับเมืองที่เราไปเยือนก็ได้ ตัวอย่างเช่นผมไปเที่ยว New York ผมก็ใส่สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำนครนิวยอร์คลงไป

.
ถัดมาเราจะต้องให้ข้อมูลของครอบครัวเรา ได้แก่ชื่อ-นามสกุล และวันเดือนปีเกิดของพ่อแม่เรา

.
ขั้นตอนต่อมาเราจะต้องให้ข้อมูลเกี่ยวหน้าที่การงานและอาชีพปัจจุบันของเรา

.
ส่วนต่อมาเราจะต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับที่ทำงานเก่าของเรา รวมถึงข้อมูลเรื่องการศึกษาของเราด้วย (วีซ่าอเมริกาถามลึกและละเอียดมาก แต่ก็ไม่เกินความสามารถของเราที่จะให้ข้อมูล 😉 )

.
เนื้อหาส่วนต่อไปที่เราจะต้องให้ข้อมูลคือส่วนที่จะถามเราเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปนอกเหนือจากงานหลักของเรา รวมถึงความสามารถต่างๆ ของเรา โดยคำถามที่เป็นคำถามแบบ Yes/No นั้นหากเราตอบ Yes ระบบจะมีช่องเพิ่มมาให้เรากรอกข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนนั้น

.
ส่วนต่อมาจะเป็นคำถาม Checklist ที่ถามตัวเราเกี่ยวกับข้อมูลด้านความมั่นคงและความปลอดภัยรวมถึงข้อมูลภูมิหลังของเราด้วย โดยจะมีข้อมูลให้เราตอบทั้งหมด 5 หน้า ทุกคำถามเป็นคำตอบ Yes/No หากเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ก็สามารถตอบ No ได้ทั้งหมด แต่ทั้งนี้ข้อมูลทุกอย่างที่เราตอบไปต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของความจริงเท่านัั้น

.

.

.

.

.
เมื่อเรากรอกข้อมูลทั้งหมดแล้วขั้นตอนต่อไปคือการอัพโหลดรูปถ่ายที่เราเตรียมไว้ โดยขั้นตอนการอัพโหลดรูปถ่ายของเรานั้นก็สามารถทำตามขั้นตอนต่างๆ ตามด้านล่างนี้ได้เลยครับ (ผมแนะนำว่าให้ลองเอาไฟล์รูปของเราที่เตรียมไว้ไปลองอัพโหลดทดสอบดูในลิงค์ที่ผมให้ไว้ตอนแรกดูก่อนครับ โดยรูปของผมที่สแกนและ Crop ไว้ผมทำไว้ที่ความละเอียด 1200 x 1200 pixels ก็อัพโหลดผ่านครับ)




.
ส่วนต่อมาเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดอีกส่วนหนึ่งคือการตรวจสอบข้อมูลที่เรากรอกไปทั้งหมด ตรงนี้ผมอยากให้ดูทีละบรรทัดเลย ทุกตัวอักษรครับ เพื่อดูว่ามีส่วนไหนผิดพลาดหรือไม่ หากมีส่วนไหนยังผิดหรือไม่ตรงกับความจริงให้เราคลิกไปแก้ไขในส่วนนั้นๆ ครับ ย้ำอีกครั้งว่าดูให้ละเอียดที่สุดครับ เพราะหากเรากดยืนยันการยื่นแบบฟอร์ม DS-160 ในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว เราจะแก้ไขไม่ได้แล้ว

.
ขั้นตอนต่อมาจะเป็นกระบวนการลงชื่อยินยอมรับทราบข้อกำหนดของการบื่นขอวีซ่าและลงลายมือชื่อแบบดิจิตอลเพื่อยืนยันว่าข้อมูลทั้งหมดที่เราให้และกรอกไปนั้นถูกต้องแล้ว

.
ขั้นตอนต่อมาเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการกรอกแบบฟอร์ม DS-160 นั่นคือการพิมพ์ใบยืนยัน (Confirmation) ฟอร์ม DS-160 โดยใบยืนยันนี้ต้องนำไปวันสัมภาษณ์ด้วย และจดหมายเลขแบบฟอร์ม DS-160 ไว้ด้วยครับ (หมายเลขใต้บาร์โค้ด) เพราะต้องใช้ในการทำนัดสัมภาษณ์ในขั้นตอนต่อไป ส่วนฟอร์ม DS-160 ที่เรากรอกไปทุกหน้านั้นก็สามารถสั่งพิมพ์มาดูได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเอาไปวันสัมภาษณ์ เอาไปแค่ใบยืนยันแค่ใบเดียวพอครับ

.
เมื่อเราพิมพ์ใบยืนยัน (Confirmation) แบบฟอร์ม DS-160 แล้ว ก็ถือว่าเราเสร็จสิ้นกระบวนการกรอกแบบฟอร์ม DS-160 อย่างสมบูรณ์ แต่ถึงตรงนี้ก็ยังไม่ได้แปลว่าเราได้วีซ่าแล้วนะครับ เพราะเป็นเพียงขั้นตอนแรกที่เราให้ข้อมูลส่วนตัวเรากับสถานทูตเท่านั้น ขั้นตอนต่อไปคือ “การชำระเงินค่าธรรมเนียมวีซ่า” เมื่อพักให้หายเหนื่อยจากการกรอกฟอร์ม DS-160 แล้ว เรามาต่อในขั้นตอนที่สองกันเลย….. 🙂
.
.
2. การชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า
การชำระเงินค่าธรรมเนียมวีซ่านั้น ไม่ใช่การนำใบยืนยันการกรอกฟอร์ม DS-160 ที่เราพิมพ์ออกมาในขั้นตอนสุดท้ายของข้อ 1 ไปชำระเงินนะครับ แต่เราจำเป็นจะต้องสร้างบัญชีออนไลน์ของเรากับเว็บของทางสถานทูตก่อน จากนั้นจะได้ใบยืนยันการชำระเงินเพื่อไปดำเนินการชำระเงินต่อไป โดยการสร้างบัญชีออนไลน์กับทางสถานทูตนั้นก็ไม่ยาก (อย่างน้อยก็ไม่ยากเท่าการกรอก DS-160 ครับ เราผ่านจุดที่ยากที่สุดมาแล้ว) คล้ายๆ กับการสมัครอีเมล์นั่นแหละ ว่าแล้วไม่รอช้า…เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าเวลาไม่คอยท่า
ขั้นตอนแรกของการสร้างบัญชีเรากับเว็บสถานทูตก็คือเข้าเว็บสำหรับสมัครวีซ่า USA ผ่านสถานทูตในไทยตามนี้ครับ http://www.ustraveldocs.com/th จากนั้นจะมีหน้าต่างด้านล่างนี้เด้งขึ้นมาให้เราคลิกที่ No (หน้าต่างนี้ถามว่าเราเข้าเว็บนี้ครั้งแรกหรือไม่ หากเราตอบ Yes ระบบจะพาเราไปเรียนรู้ วีซ่าประเภทต่างๆ ซึ่งตอนนี้เราไม่ต้องไปดูตรงนั้นแล้ว)

.
จากนั้นเลื่อนลงมาด้านล่างแล้วคลิกที่ Create Account เพื่อสร้างบัญชีของเรา

.
เมื่อคลิกเข้ามาแล้วจะเป็นหน้าที่ให้เรากรอกข้อมูลสำหรับใช้ Login เข้าระบบ (อีเมล์ที่ใช้แนะนำให้ใช้อีเมล์ให้เหมือนกับตอนกรอก DS-160)

.
ถัดมาระบบจะพาเราไปหน้า Dashboard และเราก็เริ่มทำการนัดหมายจากหน้าที่ได้เลย

.
จากนั้นให้เราเลือกประเภทวีซ่าที่เราจะสมัคร สำหรับวีซ่าท่องเที่ยวหรือเยี่ยมเยือนชั่วคราวให้เราเลือก Non-Immigrant Visa

.
ต่อมาเราต้องเลือกสถานทูตหรือสถานกงสุลที่เราสะดวกไปสัมภาษณ์ (กรุงเทพหรือเชียงใหม่) โดยต้องเลือกให้เหมือนกับตอนที่เราเลือกก่อนกรอก DS-160 นะครับ

.
จากนั้นเลือกชนิดวีซ่าที่เราจะสมัคร สำหรับวีซ่าท่องเที่ยวเลือก All Others

.
ต่อมาให้เราเลือกประเภทย่อยของวีซ่าเรา โดยสำหรับวีซ่าท่องเที่ยวเยี่ยมเยือนให้เลือกประเภทเป็น B1/B2 VISITOR FOR BUSINESS AND PLEASURE

.
ขั้นตอนต่อมาเราต้องกรอกข้อมุลส่วนตัวของเรา โดยต้องกรอกให้ถูกต้องและเหมือนกับข้อมูลที่เรากรอกลงไปแบบฟอร์ม DS-160 และที่สำคัญที่สุดเราต้องกรอกหมายเลขแบบฟอร์ม DS-160 ที่เรากรอกไปให้ถูกต้องด้วย (ระวังตรงนี้ให้ดีครับ…เพราะความผิดพลาดเล็กๆ นี้ อาจจะทำให้เราตกม้าตายได้)

.

.
ต่อมาเราก็เริ่มทำการเพิ่มชื่อของเราเข้าสู่กระบวนการนัดสัมภาษณ์ โดยเริ่มจากคลิก Add By Name จากนั้นระบบจะถามคำถามส่วนตัวของเราประมาณ 3-4 คำถาม (เป็นคำถาม Yes/No) ให้เราตอบทุกคำถามตามจริง เสร็จแล้วคลิก Continue


.
ขั้นตอนต่อมาคือให้เราเลือกว่าหากได้รับวีซ่าหรือพาสปอร์ตคืนจากสถานทูตแล้วเราจะให้เขาส่งมาให้ทาง EMS (Home Delivery) หรือเราจะไปรับเองที่ที่ทำการไปรษณีย์ (Pick up) หากระบบให้เราระบุจังหวัดก็ให้เราเลือกจังหวัดของเราที่สะดวกให้จัดส่งหรือไปรับเล่มพาสปอร์ต

.
จากนั้นระบบจะพาเราเข้าไปสู่หน้าจอที่อธิบายการชำระเงินค่าธรรมเนียมวีซ่า โดยวิธีที่สะดวกที่สุดและแนะนำคือการชำระด้วยเงินสดหรือ Cash Payment ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา (อีกวิธีหนึ่งที่เรียกว่า EFT ซึ่งเป็นการชำระผ่านทางออนไลน์ที่ดูเหมือนจะสะดวก แต่เป็นการชำระเงินไปที่ Bank of American โดยเป็นเสมือนการโอนเงินระหว่างประเทศที่ต้องใช้ Swift Code และขั้นตอนที่ยุ่งยากพอสมควร) หากเราอยากทราบขั้นตอนกระบวนการและเงื่อนไขการจ่ายเงินก็สามารถคลิกเข้าไปอ่านดูได้
.
เมื่อเข้ามาที่หน้าการจ่ายเงินแล้วจะมีรายละเอียดเงื่อนไขการจ่ายเงินให้เราอ่าน ให้เราคลิก Confirm เพื่อยืนยันว่าเรารับทราบแล้ว

.
จากนั้นจะมีกล่องข้อความให้เราคลิกเข้าไปอ่านวิธีการชำระเงินแต่ละแบบ หากเราอ่านเข้าใจดีแล้วให้กด Close

.
เมื่อเราอ่านรายละเอียดเข้าใจดีแล้วให้เราคลิกพิมพ์รายละเอียดการชำระเงินของเราเอง โดยข้อมูลในใบรายละเอียดนี้เราต้องใช้ในการกรอกลงในใบ Pay-in Slip ในกรณีที่เราชำระเงินที่เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เพื่อให้ธนาคารและสถานทูตได้ทราบว่าเราได้ชำระเงินเข้าสำหรับใบสมัครวีซ่าของใคร หมายเลขอะไร

.
ซึ่งหน้าตาของใบรายละเอียดการชำระเงินของเราก็มีหน้าตาประมาณนี้ ผมแนะนำให้พิมพ์ออกมาเพื่อใช้สำหรับดูตอนกรอกใบ Pay-in Slip ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา

.
และในระบบจะมีใบ Pay-in Slip ของธนาคารกรุงศรีอยุธยาให้เราพิมพ์ด้วย สามารถดาวน์โหลดได้จากลิงค์นี้ครับ
.
เพื่อมีทั้งใบรายละเอียดการชำระเงินของเราและใบ Pay-in Slip แล้ว เราก็นำสองใบนี้ไปติดต่อชำระเงินที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ทุกสาขา โดยต้องชำระก่อนวัน Expiration date ที่ระบุมาด้วย ค่าธรรมเนียมวีซ่าจะอยู่ที่ 160 USD หรือ ประมาณ 5,280 บาท (อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลานั้น) เมื่อเราชำระเงินแล้วก็เป็นเสร็จสิ้นกระบวนการชำระเงินครับ จากนั้นเราก็มีเวลาพักผ่อนสบายๆ อย่างน้อย 1 วัน เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป คือการนัดจองสัมภาษณ์กับทางสถานทูต……………..ตอนออกไปชำระเงิน ก็ถือโอกาสออกไปนั่งจิบกาแฟสตาร์บั๊คสักแก้วก็ได้ครับ เพื่อซึมซับบรรยากาศความเป็นอเมริกันก่อนจะได้ไปที่นั่นจริงๆ เพราะยังไงก็ได้ออกจากบ้านแล้วเนอะ 😉
.
3. นัดสัมภาษณ์วีซ่ากับทางสถานทูต
หลังจากที่เราได้ทำการชำระเงินค่าธรรมเนียมวีซ่าแล้ว ให้รอหลังเที่ยงของวันทำการถัดไป จึงจะสามารถเข้าสู่ระบบในเว็บ http://www.ustraveldocs.com/th เพื่อไปทำนัดหมายสัมภาษณ์วีซ่ากับสถานทูตได้ หรือสังเกตจากอีเมล์ที่ส่งมาหาเราว่าการชำระเงินของเราได้รับการอนุมัติแล้ว ให้ดำเนินการนัดสัมภาษณ์ได้ (เช่น ถ้าเราชำระเงินวันจันทร์ หลังเที่ยงวันอังคารก็สามารถเข้าไปทำนัดได้ หากวันอังคารไม่ใช่วันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือหากเราจ่ายเงินวันศุกร์ก็ต้องรอถึงหลังเที่ยงวันจันทร์)
เมื่อเข้ามาในเว็บแล้วก็ให้เราคลิกที่ปุ่ม Log-in เพื่อล็อกอินเข้าระบบด้วยการใส่อีเมล์และรหัสผ่านตามที่เราตั้งไว้ในขั้นตอนก่อนหน้านี้ (ไม่ต้องสร้างบัญชีใหม่อีกแล้วนะครับ สร้างครั้งเดียวตอนเราทำขั้นตอนชำระเงินค่าธรรมเนียมวีซ่าพอ)

.
เมื่อล็อกอินเข้ามาแล้วจะมีหน้าต่างเด้งมาให้เราเลือกว่าจะให้ระบบใช้หมายเลขการชำระเงินที่เราเพิ่งได้ไปจ่ายเงินมาวันก่อนหน้านี้หรือไม่ (ระบบฉลาดนะคร้าบบบบบ….รู้ด้วยว่าเราไปจ่ายเงินแล้ว) หากใช่ให้เราคลิกที่ปุ่ม Use Existing Receipts ได้เลยครับ แล้วระบบจะกรอกหมายเลขการชำระเงินให้เราอัตโนมัติ แต่ให้เราเช็คด้วยนะครับว่าเลขนั้นตรงกับที่เราได้มาในขั้นตอนก่อนหน้านี้หรือไม่ หากไม่ตรงก็ให้แก้ไขโดยการกรอกด้วยตัวเราเองครับ (ระบบอาจจะฉลาดแต่ก็มีสิทธิ์ผิดพลาดด้วยเหมือนกัน เราควรรอบคอบตรวจสอบอีกครั้งจะดีที่สุดครับ)


.
ต่อมาเป็นขั้นตอนสำคัญคิอให้เราจิ้มเลือกวันที่และเวลาที่เราจะไปสัมภาษณ์วีซ่ากับทางสถานทูต โดยวันที่และเวลาที่เราต้องการอาจจะไม่มีตารางว่างเลยก็ได้ ก็ให้ดูวันที่และเวลาที่ว่างตามนี้ได้เลย เลือกเอาอันที่เราสะดวกที่สุด บางครั้งช่วงคิวยาวๆ อาจจะต้องรอคิวสัมภาษณ์เป็นเวลาร่วมเดือนเลย ตรงนี้เราไม่สามารถทำอะไรนอกจากเลือกอันที่เร็วที่สุดแล้วอดทนรอครับ (Tip : เมื่อเลือกแล้ว เราสามารถล็อกอินเข้ามาดูได้เรื่อยๆ ว่ามีคน Cancel แล้วตารางบางวันจะว่างขึ้นมา เราสามารถ Re-schedule เพื่อเสียบคิวของเราตารางนั้นได้ 1 ครั้งฟรี ย้ำว่าฟรีเพียง 1 ครั้งนะครับ)

.
เมื่อเราเลือกตารางเวลาที่เราสะดวกแล้ว ระบบจะให้เราสั่งพิมพ์ใบจองนัดสัมภาษณ์ออกมา ซึ่งใบจองนัดสัมภาษณ์นี้เราต้องพิมพ์ออกมาแล้วถือไปวันสัมภาษณ์ด้วย โดยบาร์โค้ดในใบนัดนี้จะต้องชัดเจน

.
ตัวอย่างหน้าตาของใบจองนัดสัมภาษณ์ที่พิมพ์ออกมา

.
เมื่อเราพิมพ์ใบจองนัดสัมภาษณ์ออกมาแล้วก็เป็นอันเสร็จสื้นกระบวนการนัดสัมภาษณ์ครับ จากตรงนี้ไปเราก็รอและเตรียมตัวให้พร้อมก่อนไปสัมภาษณ์ ซึ่งระหว่างรอนั้นผมแนะนำว่าทำตัวให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยการเตรียมเอกสารหลักฐานประกอบการพิจารณาวีซ่าให้พร้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรืออาจจะใช้เวลานี้วางแผนเที่ยวไปพลางๆ ก่อนก็ได้ (จริงๆ แผนเที่ยวก็ถือเป็นหนึ่งในเอกสารยื่นวีซ่า การเตรียมแผนการเที่ยวก่อนได้วีซ่านั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งครับ) ซึ่งเอกสารต่างๆ ที่จะต้องหรือแนะนำให้ถือไปด้วยในวันสัมภาษณ์นั้น ผมจะกล่าวถึงในขั้นตอนต่อไปครับ 😛
.
4. ไปสัมภาษณ์วีซ่ากับสถานทูตและทราบผลการพิจารณาวีซ่า
เมื่อเราทำนัดสัมภาษณ์วีซ่ากับทางสถานทูตเรียบร้อยแล้ว ระหว่างรอไปสัมภาษณ์เราก็มาเตรียมเอกสารต่างๆ เพื่อประกอบการพิจารณาวีซ่ากัน โดยเราสามารถแบ่งประเภทเอกสารออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ เอกสารที่จำเป็นต้องถือไป (เอกสารนี้เจ้าหน้าที่สถานทูตขอดูแน่นอน) และเอกสารที่แนะนำให้ถือไป (เจ้าหน้าที่สถานทูตอาจจะขอดูหรือไม่ขอก็ได้ แต่ถ้าขอดูเราต้องมีให้ดูตอนนั้น) โดยเอกสารเหล่านี้ผมอ้างอิงจากอาชีพพนักงานประจำครับ และเอกสารทุกอย่างควรเตรียมเป็นภาษาอังกฤษ
4.1 เอกสารที่จำเป็นต้องถือไป
- พาสปอร์ตตัวจริง เล่มปัจจุบันของเรา (อายุเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือน)
- พาสปอร์ตตัวจริงเล่มเก่าของเราที่มีทั้งหมด (ถ้ามี)
- บัตรประชาชนตัวจริง (ใช้ตอนฝากของก่อนเข้าสถานทูต)
- รูปถ่ายขนาด 2 x 2 นิ้วที่เราถ่ายเตรียมไว้จำนวน 1 รูป
- ใบยืนยันการกรอกแบบฟอร์ม DS-160
- ใบยืนยันการจองนัดสัมภาษณ์
- ห์ลักฐานการชำระเงินค่าวีซ่า (ใบ Pay-in slip ของธนาคารกรุงศรีฯ)
4.2 เอกสารที่แนะนำให้ถือไป
- หนังสือรับรองการทำงานและการอนุมัติให้ลางานจากบริษัทเรา
- Statement ย้อนหลัง 6 เดือน (ทั้งบัญชีเงินเดือนและบัญชีเงินออม)
- แผนการเดินทางท่องเที่ยว
- หลักฐานแสดงการถือครองหลักทรัพย์ต่างๆ (ถ้ามี) เช่นใบรับรองการถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ สำเนาโฉนดที่ดินหรือคอนโดที่เป็นชื่อเรา เป็นต้น
- เรซูเม่ (Resumé) หรือจดหมายแนะนำตัวเอง – เอกสารนี้เผื่อทางสถานทูตถามว่าเราทำงานที่ไหน รับผิดชอบอะไรบ้าง
- ทะเบียนบ้าน
- เอกสารสนับสนุนอื่นๆ ที่คิดว่าช่วยเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือในตัวเราให้กับเจ้าหน้าที่ (ถ้ามี) เช่น ใบรับรองการเปลี่ยนชือ/นามสกุล ทะเบียนสมรส หนังสือรับรองบุตร หนังสือเชิญจากเพื่อน/ญาติ ทะเบียนการค้า (กรณีเป็นเจ้าของกิจการ) เป็นต้น
.
เมื่อวันสัมภาษณ์มาถึงก็ให้เราเดินทางไปถึงสถานทูตก่อนเวลานัดหมายประมาณ 15 นาที สำหรับสถานทูตอเมริกาในกรุงเทพนั้นสามารถเดินทางไปได้โดยรถไฟฟ้า BTS (แนะนำว่าไปรถไฟฟ้าสะดวกที่สุด เพราะแถวนั้นหาที่จอดรถไม่ง่ายเลย) โดยลงที่สถานีเพลินจิต จากนั้นเดินออกมาที่ทางออกหมายเลข 5 จากนั้นก็เดินไปทางถนนวิทยุฝั่งด้านหน้าอาคาร Park Venture แล้วขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างบอกว่าไปสถานทูตอเมริกา (ค่ารถ 20 บาท ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2019) ใช้เวลาไม่ถึง 2 นาทีก็ถึงแล้ว สังเกตจากมีคนต่อแถวหน้าสถานทูตเยอะๆ นั่นแหละมาถูกที่แล้ว

.
เมื่อเดินทางมาถึงสถานทูตแล้วจะมีเจ้าหน้าที่อยู่ด้านหน้าคอยแจ้งว่าให้เริ่มเข้าแถวรอที่จุดไหน โดยจุดแรกนั้นเจ้าหน้าที่จะให้เราเข้าแถวเพื่อตรวจพาสปอร์ตเล่มปัจจุบันและใบนัดสัมภาษณ์ก่อน จากนั้นเจ้าหน้าที่จะให้เราไปเข้าแถวอีกแถวเพื่อเดินเข้าสถานทูต โดยก่อนเข้าสถานทูตนั้นเจ้าหน้าที่จะให้เราฝากโทรศัพท์มือถือไว้ (ตอนฝากยื่นพร้อมบัตรประชาชนตัวจริงด้วย) โดยรับฝากแค่คนละ 1 เครื่องเท่านั้นและก่อนฝากต้องปิดเครื่องด้วย หากมีมากกว่า 1 เครื่องหรือมเพาเวอร์แบงค์ไปด้วยต้องหาร้านข้างนอกรับฝากเอง ส่วนกระเป๋าถือ กระเป๋าเงิน หรือกระเป๋าสะพายใบเล็กนำเข้าไปได้ ดังนั้นผมแนะนำว่าเอาของติดตัวไปให้น้อยที่สุดแค่เพียงโทรศัพท์ 1 เครื่อง กระเป๋าเงิน และเอกสารใส่แฟ้มไปก็พอแล้ว (สถานทูตค่อนข้างเข้มงวดมากเรื่องการพกสิ่งของเข้าไป ตรวจสอบและสแกนละเอียดมาก)
เมื่อเข้าไปในสถานทูตแล้วให้ไปติดต่อเคาน์เตอร์ก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์ โดยที่เคาน์เตอร์นี้เจ้าหน้าที่จะขอดูพาสปอร์ตและใบนัดเราอีกครั้ง จากนั้นจะติดสติกเกอร์หมายเลย Tracking และหมายเลข EMS บนหน้าปกพาสปอร์ตเรา จากนั้นให้เราจดหมายเลข EMS ไว้ด้วย เพื่อใช้ตรวจสอบสถานะการส่งพาสปอร์ตคืนมาให้เราจากสถานทูต
เมื่อจดหมายเลข EMS แล้วก็ให้เราเดินเข้าไปในห้องสัมภาษณ์โดยในห้องสัมภาษณ์นี้จะมีกระบวนการอยู่ 3 ขั้นตอนโดยแต่ละขั้นตอนเป็นดังนี้
- สัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่สถานทูต (เคาน์เตอร์หมายเลข 12 – 15) โดยในส่วนนี้เป็นการสอบถามข้อมูลเบื้องต้นของเรา เช่นไปอเมริกาทำอะไร ไปกี่วัน ไปกี่คน เป็นต้น โดยเจ้าหน้าที่ที่สัมภาษณ์เป็นคนไทยทั้งหมด เมื่อสัมภาษณ์เสร็จเจ้าหน้าที่จะขอรูปถ่ายเราหนึ่งรูปและให้เราสแกนลายนิ้วมือเก็บไว้เป็นหลักฐาน
- ยืนยันลายนิ้วมือ หลังจากสัมภาษณ์เบื้องต้นกับเจ้าหน้าที่คนไทยแล้วเราก็มาต่อแถวที่เคาน์เตอร์หมายเลข 11 เพื่อยืนยันลายนิ้วมือที่พิมพ์ไป ขั้นตอนนี้ไม่มีอะไรมาก เจ้าหน้าที่ (ฝรั่ง) จะให้เราสุ่มสแกนนิ้วมือซึ่งอาจจะเป็นมือซ้ายหรือขวาก็ได้ ก็เป็นอันเสร็จพิธี
- สัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่กงสุลสถานทูต (เคาน์เตอร์หมายเลข 7 – 10) หลังจากที่ยืนยันลายนิ้วมือแล้วก็มาถึงขั้นตอนสุดท้าย ขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนที่เราจะทราบผลวีซ่าเบื้องต้นทันทีหลังจากสัมภาษณ์เสร็จ โดยเจ้าหน้าที่จะเป็นอเมริกันทั้งหมด (ณ วันที่ผมไปสัมภาษณ์) และเจ้าหน้าที่บางคนพูดไทยได้ (แต่ผมแนะนำว่าควรสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษครับ เพราะอย่างน้อยก็เป็นการบ่งบอกว่าเราพร้อมจะเดินทางไปต่างประเทศระดับหนึ่ง) ซึ่งการสัมภาษณ์ของแต่ละคนนั้นไม่มีอะไรตายตัวแน่นอน ขึ้นอยู่กับตัวผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ด้วย และเท่าที่ผมแอบได้ยินคนอื่นที่สัมภาษณ์ก่อนหน้าผมก็มีการพูดคุยในเรื่องแตกต่างกันไป จับทางเจ้าหน้าที่กงสุลไม่ได้จริงๆ ถึงตรงนี้ก็คงบอกได้แต่ว่า เตรียมตัวเราให้มีข้อมูลพร้อมที่จะตอบคำถามเจ้าหน้าที่กงสุลที่สุด แสดงออกเวลาตอบคำถามให้มั่นใจ มองหน้าผู้ถามขณะตอบคำถาม ตอบคำถามแบบไม่ลังเลและตรงกับที่กรอกไปใน DS-160 และตอบทุกคำถามด้วยความสัตย์จริงเท่านั้น และเท่าที่ผมสังเกตดูบางคนสัมภาษณ์กันนานร่วม 10 นาที บางคนไม่ถึง 2 นาที นั่นเพราะว่าโปรไฟล์และประวัติแต่ละคนไม่เหมือนกัน คำถามของแต่ละคนจึงแตกต่างกันตามไปด้วย ผมขอยกตัวอย่างบทสนทนาของผมกับเจ้าหน้าที่สถานทูตไว้เป็นตัวอย่างครับ (แต่ชุดคำถามนี้อาจจะใช้ไม่ได้กับทุกคน แค่เอามาให้ดูเป็นแนวทางเท่านั้นครับ)
………..
Ship : Good Morning (ทำหน้ายิ้มแย้มด้วย).
Consular : Morning. What is your name ?
Ship : I’m Siwarit.
Consular : May I have your current passport?
Ship : Yes (ยื่นพาสปอร์ตเล่มปัจจุบันให้).
Consular : (ก้มหน้ากดดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์) Why would you like to go to America ?
Ship : I’m planning to go there for tourist and sightseeing at New York and DC.
Consular : Where are you graduated from ?
Ship : Chiangmai. I graduated from Chiangmai University.
Consular : May I have your old passport?
Ship : Yes (แล้วก็ยื่นพาสปอร์ตเล่มเก่าให้)
Consular : (หยิบพาสปอร์ตไปเปิดดู) Why did you go to France many time?
Ship : I went there for business. My company has head office there.
Consular : You are working in French company ?
Ship : Yes. We are French supermarket company.
Consular : Did you go there for meeting?
Ship : Yes. Correct.
Consular : OK. It is finished. Thanks (แล้วก็หยิบพาสปอร์ตผมไป)
Ship : Thank you 🙂
……….
รวมเวลาที่ผมสัมภาษณ์แล้วไม่เกิน 3 นาที เอกสารที่ผมเตรียมไปเป็นปึกนั้นไม่ถูกเรียกดูเลย (แต่บางคนโดนเรียกขอดูหลายอย่างเลย…ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจริงๆ) และหากเจ้าหน้าที่ดึงพาสปอร์ตเราไปก็แสดงว่าวีซ่าเราน่าจะผ่านเกือบ 100% แค่มารอลุ้นว่าจะได้กี่เดือน กี่ปีเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าโปรไฟล์ดีก็มีโอกาสได้ 10 ปี แบบไม่ยากเลย ส่วนหากใครที่เจ้าหน้าที่คืนพาสปอร์ตให้พร้อมกับกระดาษข้อความสีขาวด้วยแสดงว่าวีซ่าเราถูกปฏิเสธครับ (หากวีซ่าเราถูกปฏิเสธ จะไม่มีการคืนเงินให้ทุกกรณี) และหลังจากสัมภาษณ์ขั้นตอนสุดท้ายนี้แล้วก็กลับบ้านได้ รวมเวลาตั้งแต่มาถึงสถานทูตจนสัมภาษณ์เสร็จใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
ซึ่งเมื่อสัมภาษณ์เสร็จและเจ้าหน้าที่เก็บพาสปอร์ตของเราไปแล้ว สถานทูตจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วันในการจัดทำวีซ่าและแปะลงในหน้าพาสปอร์ตของเรา จากนั้นก็จะจัดส่งคืนมาให้เราทางไปรษณีย์ ซึ่งเราสามารถล็อกอินเข้าไปเช็คสถานะพาสปอร์ตเราได้ที่เว็บไซต์ http://www.ustraveldocs.com/th ได้หรือทำตามคำแนะนำในเว็บนี้ก็ได้ครับ https://www.ustraveldocs.com/th_th/th-niv-passporttrack.asp และหากระบบแจ้งว่าพาสปอร์ตเราได้ถูกส่งออกมาแล้วก็ให้เราตรวจสอบสถานะ EMS จากหมายเลข EMS ที่เราจดมาได้จากเว็บไซต์นี้ครับ http://track.thailandpost.co.th/tracking/default.aspx?lang=th
ในกรณีของผมนั้นสัมภาษณ์วีซ่าเสร็จวันพุธ วันต่อมาสถานทูตก็ส่งอีเมล์มาว่าได้ส่งพาสปอร์ตผมออกมาแล้ว และวันศุกร์เที่ยงก็ได้รับจดหมาย EMS พร้อมเล่มพาสปอร์ตข้างใน (ใช้เวลาแค่ 2 วันนับจากวันสัมภาษณ์เท่านั้น) และเมื่อผมเปิดจดหมายออกดูก็ได้รับวีซ่า 10 ปี แบบ Multiple Entry โดยที่ไม่เคยได้วีซ่าอเมริกามาก่อนเลยชีวิตนี้ แฮปปี้เอนด์ดิ้งกันไป 🙂 🙂 🙂 😉

ได้มาแล้ววีซ่าอเมริกา 10 ปี แบบ Multiple Entry…..มันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเนอะ
.
มาถึงตรงนี้เมื่อเราได้วีซ่ามาครอบครองเรียบร้อยแล้ว ก็แสดงว่าเราสามารถเดินทางไป USA เพื่อการท่องเที่ยวได้ถูกต้องตามกฏหมาย ขั้นตอนต่อไปก็จัดการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พักและจัดทริปไปเยือนดินแดนแยงกี้ได้อย่างสบายใจเลยครับ และอย่าลืมเงื่อนไขสำคัญอีกข้อซึ่งก็คือ “การพิจาณาจะให้เราเข้าหรือไม่ให้เราเข้าสู่ดินแดนของ USA นั้นสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ณ ท่าอากาศยานหรือด่านตรวจคนเข้าเมืองปลายทาง” ดังนั้นเมื่อเดินทางไป USA ก็ควรเตรียมเอกสารติดตัวไปด้วย ได้แก่ ตั๋วเครื่องบินขากลับ ใบจองที่พัก/โรงแรม หรือหนังสือเชิญไปพักกับเพื่อน/ญาติ รวมถึงเตรียมหลักประกันว่าเรามีเงินเพียงพอที่จะใช้จ่ายขณะอยู่ที่นั่น (เช่นเงินสด หรือ บัตรเครดิต) เป็นต้น เพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองขาเข้าด้วย และจำนวนวันที่สามารถพำนักใน USA ได้ในแต่ละครั้งสำหรับวีซ่า 10 ปี แบบ Multiple นั้นก็อยู่ที่ดุลยพินิจเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ซึ่งจะทราบตอนผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองแล้วเท่านั้น สำหรับตัวเองนั้นตอนผ่าน ตม. ที่นั่นก็โดนถามหลายคำถามทั้งเรื่องอาชีพ วัตถุประสงค์การมา จะมากี่วัน รวมทั้งขอดูเอกสารใบจองโรงแรม แผนการเที่่ยวอย่างละเอียด ตั๋วเครื่องบินขากลับ และหลักฐานการประกอบอาชีพ/ใบรับรองการทำงาน และเมื่อคุยกันจบทางเจ้าหน้าที่ก็บอกผมว่า เขาให้ผมอยู่ได้ตามตั๋วเครื่องบินขากลับบวกเพิ่มไปอีก 2 วัน (คงกะเผื่อเครื่องผมดีเลย์หรือผมตกเครื่องประมาณนั้น) ก่อนจะแสตมป์พาสปอร์ตให้ถือเป็นการผ่านเข้าสู่ดินแดนสหรัฐอเมริกาเพื่อวัตถุประสงค์การท่องเที่่ยวอย่างสมบูรณ์ จากนั้นก็เที่ยวได้อย่างสบายใจ ……และสุดท้ายนี้ผมก็ขอให้ทุกคนโชคดีและมีความสุขกับการท่องเที่ยวครับ 🙂
.
หมายเหตุ :
- รีวิวที่ผมทำขึ้นมานี้เป็นเพียงการแนะนำขั้นตอนการยื่นวีซ่าอเมริกาเท่านั้น ไม่ได้การันตีว่าคนที่ยื่นตามนี้ทั้งหมดจะได้รับอนุมัติวีซ่าและ/หรือได้วีซ่า 10 ปีทุกคน เพราะแต่ละคนมีประวัติและคุณสมบัติเฉพาะบุคคลต่างกันไป การพิจารณาอนุมัติวีซ่านั้นสถานทูตเป็นผู้มีสิทธิ์ขาดในการตัดสิน
- ข้อมูลต่างๆ ในรีวิวนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงข้อมูล ณ ช่วงเวลาที่ผมยื่นวีซ่าอเมริกา (เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2019) เงื่อนไขและกระบวนการต่างๆ นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขอให้ทุกคนศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนยื่นวีซ่าทุกครั้ง
- หากมีคำถามสามารถโพสถามได้ที่ช่อง Comment ครับ ทางผมยินดีตอบคำถามทุกอย่างเกี่ยวกับขั้นตอนการยื่นขอวีซ่าหากผมสามารถตอบได้ ส่วนคำถามที่นอกเหนือจากนี้ เช่นหลักเกณฑ์หรือระยะเวลาการพิจารณาวีซ่า ความถูกต้องของการกรอกข้อมูลและการเตรียมเอกสาร เหตุผลในการถูกปฏิเสธวีซ่า รวมถึงคำถามที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติเฉพาะตัวบุคคล ทางผมไม่สามารถให้คำตอบได้ครับ
- ผมเพียงรีวิววิธีการยื่นขอวีซ่าอเมริกาเท่านั้น ไม่รับจ้างทำเอกสาร กรอกข้อมูล หรือรับทำวีซ่าใดๆ ทั้งสิ้น
- หากรีวิวนี้มีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหรือตกหล่นไป ทางผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
SHIPY SIWARIT TIASUWATTISETH : เขียน
สวัสดีค่ะ รบกวนสอยถามนิดนึงค่ะว่าแพลนไปเที่ยวกี่วันค่ะ
LikeLike
ผมไปมาแล้วครับ 9 วัน
New York – Philadelphia – Washington DC
LikeLike
สอบถามหน่อยคะ กรอก ds-160 แล้ว ตรง work/education/training ไม่มี previous กับ additional ให้กรอกอ่ะคะ
ไม่ทราบว่ามีการปรับแบบฟอร์มใหม่หรือเปล่าคะ
LikeLiked by 1 person
เรื่องการปรับแบบฟอร์มผมไม่ทราบ แต่ลองทำตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ ครับ กรอกตามความจริงไปทุกอัน มีเท่าไหร่ก็กรอกเท่านั้นครับ
LikeLiked by 1 person
อยากทราบว่าเอกสาร สเตรเมน หรือใบรับรองทางการเงิน ทุกอย่างเราต้องขอก่อนวันนักสัมภาษณ์ หรือต้องทำหลังจากรอวันได้นัดวันสัมภาษณ์ค่ะ
ขอรบกวนตอบกลับหน่อยนะคะ ขอพระคุณมากๆคะ
LikeLike
ขอไว้ก่อนวันสัมภาษณ์ครับ เเละถือไปวันสัมภาษณ์ด้วย แต่เจ้าหน้าที่จะเรียกดูหรือไม่ อยู่ที่ดุลพินิจครับ กรณีผมไม่ถูกเรียกดูเลย แต่ถ้าถูกเรียกดูต้องมีแสดงให้เขาดู
LikeLike
ขอรบกวนสอบถามเพิ่มเติมอีกนิดนะคะ พอดีเราเข้า สร้างโปรไฟส์ การชำระเงินตามที่แนะนำค่ะ แต่ตอนนี้เราสร้างไม่ได้เลย เข้าทุก บราวเซอร์แล้วนะคะ พยายามกดทุกอย่างแล้วแต่ไม่แน่ใจว่าติดตรงไหน ชื่อทุกอย่างก็ถูกต้องหมดค่ะ caspcha ก็แก้ไขหลายรอบแล้วแต่เข้าไม่ได้เลยไม่แน่ใจว่าต้องทำยังไงต่ออะคะ พยามมา 2 วันละค่ะ ไม่ได้สักที ขอบคุณมากนะคะที่เข้ามาตอบ คำตามแรก ^^
LikeLike
คิดว่าระบบน่าจะมีปัญหาขัดข้องครับ ลองเว้นระยะสัก 2-3 ชั่วโมง แล้วเข้าไปอีกครั้งครับ
LikeLike
ขอบคุณมากนะคะ ตอบเร็วมากค่ะ ตอนนี้เข้าได้เรียบร้อยค่า ^^
LikeLike
สอบถามค่ะกรณีทำงานเป็นเจ้าของกิจการร้านค้าต้อง กรอก ds-160 ตรงเลือกประเภทอาชีฟเป็น not employed ถูกต้องหรือป่าวค่ะ หรือว่าต้องเลือกเป็นอะไรค่ะ
LikeLike
ผมคิดว่าไม่ควรเลือก Not employed ครับ ลองดูว่ามีใกล้เคียงกว่านั้นมั้ย หรือ อาจจะเลือกเป็นว่าเราเป็นลูกจ้าง แต่นายจ้างคือชื่อร้านเราเอง
LikeLike
ขอบคุณ มากค่ะ
LikeLike
สวัสดีค่ะ ขอรบกวนสอบถามค่ะ ว่าถ้าต้องการเพิ่มชื่อน้องเพื่อไปสัมภาษณ์พร้อมกันต้องไปใส่ Part ไหนของ DS-160 อะคะ ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
LikeLike
ผมไม่เคยไปสัมภาษณ์พร้อมกันหลายคนครับ เลยไม่แน่ใจข้อมูล แต่คิดว่าการทำ DS-160 ต้องทำรายคน ส่วนการจะสัมภาษณ์พร้อมกันนั้นต้องไปทำหลังจากชำระเงินแล้ว โดยตอนทำนัดให้คลิกไปที่ Group Scheduling Request
LikeLike
ขอบคุณมากนะคะละเอียดมากๆ
รบกวนสอบถามนิดนึงค่ะ กรณีเด็กเค้าจะสัมภาษณ์พร้อมผู้ใหญ่มั้ยคะ
LikeLike
ถ้ายื่นเป็น Group คิดว่าน่าจะเข้าไปสัมภาษณ์พร้อมกันครับ
LikeLike