วันนี้ผมวางแผนว่าจะกลับเมืองหลวงกรุง Colombo (โคลอมโบ) จากเมืองแห่งชา Nuwara Eliya ครับ เริ่มจากตอนเช้าผมตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีห้าครึ่งอาบน้ำแต่งตัวท่ามกลางอากาศหนาวเย็นที่ประมาณ 13 องศาเซลเซียส จากนั้นก็ออกไปที่สถานีขนส่งเมือง Nuwara Eliya เพื่อขึ้นรถ โดยเจ้าของโรงแรม Blue wing inn ที่ผมพักที่เมืองนี้อาสาขับรถไปส่งที่สถานีขนส่งแบบฟรีๆ เลย แม้กระทั่งเวลาเช้ามืด (น่ารักมากๆ :-D) ผมไปถึงสถานีขนส่งประมาณหกโมงเศษๆ หลังจากที่ขอบคุณและร่ำลาเจ้าของโรงแรมแล้วผมก็เดินหารถประจำทางที่จะมุ่งหน้าไป Colombo ตอนแรกผมพยายามมองหารถแอร์เพื่อที่จะได้นั่งสบายๆ ตามที่เจ้าของโรงแรม Blue wing inn แนะนำ แต่หาไม่เจอ เจอแต่รถหวานเย็นสาย 79 ของบริษัท Nuwara Eliya Express จึงตัดสินใจขึ้นไป เพราะกลัวสายและระยะเวลาไป Colombo จากที่นี่นั้นประมาณเกือบ 6 ชั่วโมง (ถึงแม้ระยะทางแค่ไม่ถึง 200 กิโลเมตร แต่เป็นทางชันบนเขา ถนนแคบ รถไปได้ช้า และรถหวานเย็นจอดแทบทุกตำบลที่ผ่าน) ราคาค่าตั๋วรถหวานเย็นไป Colombo อยู่ที่ 280 รูปี (ประมาณ 70 บาท…..ถูก มว๊ากกก) จ่ายที่กระเป๋ารถบัสโดยตรง และจากการที่สอบถามกระเป๋ารถบัสได้ความว่ารถแอร์ออกแค่วันละไม่กี่รอบ ส่วนรถหวานเย็นออกแทบทุกชั่วโมง จึงไม่แปลกที่ผมหารถแอร์ไม่เจอในตอนเช้า
รถบัสสาย 79 ที่จะพาผมกลับกรุง Colombo จากเมืองบนเขาสูง Nuwara Eliya
ขึ้นรถได้ไม่นานประมาณหกโมงครึ่งรถก็เริ่มออก ที่ต้นทางคนนั่งไม่เต็มรถ (ประมาณ 70%) ที่นั่งจัดแบบ 3 – 3 และค่อนข้างแคบ อึดอัดพอสมควรสำหรับการนั่งราวๆ 6 ชั่วโมง แต่ก็มีจอดพักระหว่างทางให้ผู้โดยสารได้ยืดเส้นยืดสายกันบ้าง ก็ยังพอรับได้ รถวิ่งลงไปตามเขาสูงชันแบบช้าๆ พร้อมอากาศหนาวๆ ในตอนเช้า ผมก็ตื่นบ้าง หลับบ้าง พอรถวิ่งมาได้สัก 3 ชั่วโมง เริ่มเข้าสู่เขตเมือง Kandy ที่ลงจากเขาแล้ว อากาศก็เริ่มร้อน ผู้โดยสารทุกคน (รวมทั้งผมด้วย) ต่างก็ทยอยถอดเสื้อกันหนาวลอกคราบกัน และตลอดทางก็มีการรับ-ส่งผู้โดยสารเรื่อยๆ บางจังหวะคนเยอะถึงขั้นต้องมีคนยืนกันเลยทีเดียว สักประมาณเที่ยงครึ่งรถก็มาถึงสถานีขนส่ง Colombo Fort Bus Station หรือ Colombo Central Bus stand ซึ่งเป็นสถานีขนส่งหลักของเมืองหลวง (ผมคิดว่าเปรียบได้กับหมอชิตของเราประมาณนั้น) โดยก่อนเข้า Colombo นั้นรถติดมากๆ และสถานีขนส่งของที่นี่คนหนาแน่นและวุ่นวายมาก ใครที่ไปเทียวที่นี่นั้นแบบไปเที่ยวเอง ไม่ได้ไปกับทัวร์ ผมแนะนำว่าไปแบบ Lite – Traveler จะดีที่สุด เพราะหากมีกระเป๋าใบใหญ่ไปด้วยจะค่อนข้างเป็นภาระมากๆ
หลังจากที่ลงรถและเดินออกมาจากท่ารถที่วุ่นวายแล้ว ผมก็เตรียมมุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไปของผมนั่นคือ Galle Face Beach ซึ่งเป็นชายหาดใจกลางเมืองหลวง Colombo ซึ่งเป็นแหล่งเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจ และชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของ Colombo โดย Galle Face Beach นั้นตั้งอยู่ที่ถนน Colombo – Galle main street ซึ่งเป็นถนนย่านใจกลางธุรกิจของประเทศ (เปรียบได้กับสุขุมวิทหรือสีลมบ้านเรา……เจ๋งปะล่ะ ถนนย่านธุรกิจอยู่ติดชายทะเล 🙂 )
เมื่อเดินออกมาจากท่ารถแล้วผมลองใช้ Google map เพื่อดูระยะทางที่จะของ Galle Face Beach ซึ่งหากไม่ไกลมากผมจะเดินไป แต่ลองดูแล้วห่างประมาณ 3.8 กิโลเมตร ผมจึงตัดสินใจเรียกตุ๊กตุ๊กไปส่งครับ ตกลงราคากันได้ที่ 200 รูปี (ประมาณ 50 บาท) นั่งไปไม่ถึง 10 นาทีก็ถึง แต่ระหว่างทางก็ถามคนขับว่าแถวนั้นมีร้านฟาสต์ฟู้ดอะไรมั้ย เพราะผมกินอาหารเผ็ดเครื่องเทศของที่นี่ไม่ไหวแล้ว อยากลองกินอะไรรสไม่จัดบ้าง เขาบอกว่ามีร้าน Burger King อยู่แถวนั้นและยินดีไปส่งถึงที่ ผมจึงจัด Burger King เป็นมื้อกลางวัน (ควบมื้อเช้า) ก่อนออกเดินตะลอน Colombo
ตุ๊กตุ๊กที่ Colombo ค่าบริการขึ้นอยู่กับการตกลงกับคนขับ
หน้าตาของ Burger King ที่บริเวณ Galle Face ผมสั่งชุด Chicken Burger ไป ได้เบอร์เกอร์/เฟรนซ์ฟรายด์/โค้ก/ไก่ทอด มา ราคาอยู่ที่ 970 รูปี (ประมาณ 245 บาท) ซึ่งถือว่าแพงมาก (ของกินท้องถิ่นที่ประเทศนี้ถูก แต่ฟาสต์ฟู้ดแพงครับ)
หลังจากที่ท้องอิ่ม ผมก็มีแรงเดินต่อแล้วครับ โดยเริ่มจากเดินเล่นที่บริเวณ Galle Face Beach ก่อนเลย Galle Face Beach เป็นสวนสาธารณะหรือพื้นที่สีเขียวที่ใหญ่ที่สุดของ Colombo ซึ่งตั้งคั่นกลางระหว่างถนนสายเศรษฐกิจและมหาสมุทรอินเดีย มีพื้นที่ประมาณ 5 เฮคตาร์ (ประมาณ 31 ไร่) แต่เดิมนั้นใช้เป็นสถานที่สำหรับแข่งม้า คริกเก็ต หรือกีฬาอื่นๆ ปัจจุบันนั้นเป็นสถานที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่ Galle Face นี้จะมีร้านค้าต่างๆ มาตั้งขายอาหารและของกระจุกกระจิกจำนวนมาก และผู้คนทั้งลูกเด็กเล็กแดง วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ก็จะออกมาเดินเล่นและทำกิจกรรมยามว่างกันอย่างเนืองแน่น
บรรยากาศที่ Galle Face Beach นั้นลมค่อนข้างแรงเพราะอยู่ติดทะเล และคลื่นค่อนข้างแรงด้วย บริเวณชายหาดนั้นเป็นชายหาดดินและกรวดไม่สามารถลงเล่นน้ำได้ แต่สาเหตุที่ผมอยากมาที่นี่ก็เพราะอยากจะเห็นชีวิตการพักผ่อนของชาวเมืองหลวงประเทศนี้ และอยากจะสัมผัสวิถีชีวิตของคนที่นี่อย่างใกล้ชิด รวมถึงอยากจะเห็นทะเลที่ต่างบ้านต่างเมืองด้วยว่ามันจะต่างจากบ้านเราแค่ไหน ระหว่างที่ผมเดินไปก็พบเห็นว่าคนส่วนมากออกมานั่งเล่นเดินเล่นรับลม ส่วนมากมากันเป็นครอบครัวหรือเป็นกลุ่ม มีร้านของว่างและร้านขนมขายทั่วไป และมีการเล่นว่าวกันที่บริเวณนี้ด้วยเนื่องจากลมแรงและเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ดูแล้วได้บรรยากาศวันสบายๆ ท่ามกลางเมืองใหญ่ได้เป็นอย่างดี
บรรยากาศลานกว้างบริเวณ Galle Face ที่ผู้คนนิยมออกมาทำกิจกรรมกลางแจ้งกัน
ร้านค้าขายอาหารว่างและของเล่นกระจุกกระจิกที่ตั้งเรียงรายอยู่ตามแนวชายหาดของ Galle Face
รูปนี้ให้วัยรุ่นนักศึกษาชาวศรีลังกาที่นั่งอยู่แถวนั้นช่วยถ่ายให้ครับ
หลังจากที่ผมรับบรรยากาศริมทะเลที่ย่านถนนสายธุรกิจของเมือง Colombo จนหนำใจแล้ว เวลาประมาณบ่ายสองโมงผมก็ขอเดินทางไปยังเป้าหมายถัดไปของผมในวันนี้และเป็นเป้าหมายสุดท้ายของทริปนี้ ซึ่งนั่นคือ “วัดคงคาราม (Gangaramaya temple หรือ Sri Jinaratana Bhikku Abhyasa Vidyalaya temple)” วัดนี้อยู่ห่างออกจากจาก Galle Face ประมาณ 1.7 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออก แต่ผมใช้วิธีเดินเท้าไปเพราะยังมีเวลาเหลือพอสมควรและผมอยากจะเดินดูบรรยากาศของเมือง Colombo ระหว่างทางที่ไปวัดด้วย ซึ่งทางเดินในกรุง Colombo นั้นมีทางเท้าให้เดินตลอดแนวถนน เดินไม่ยากครับ และระหว่างทางหากมีรถตุ๊กตุ๊กวิ่งผ่านเราและเห็นเราเป็นชาวต่างชาติ รถตุ๊กเหล่านั้นจะเข้ามาหยุดถามเราเพื่อเสนอพาเราไปเที่ยวทุกคัน โดยจะเสนอเป็นแพ็กเกจแบบเต็มวันหรือครึ่งวันตามแต่เขาจะเสนอและเวลาที่เอื้ออำนวย ส่วนมากเป็นแพ็กเกจพาเราไปชมวัดต่างๆ ที่อยู่บริเวณตัวเมือง ราคาก็ตามตกลง ซึ่งผมก็ปฏิเสธไปทุกราย เพราะเวลาผมมีไม่มากขนาดนั้นและราคาค่อนข้างแพงตามความคิดผม ว่าแล้วก็ใจแข็งเดินไปจนถึงวัดคงคารามโดยไม่ใจอ่อนและอาศัย Google Map เป็นสิ่งนำทาง 🙂
วัดคงคารามเป็นวัดที่สร้างขึ้นตามหลักพระพุทธศาสนานิกายสยามวงศ์และเป็นที่ตั้งของโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์แห่งแรกของศรีลังกา สถาปัตยกรรมภายในวัดเป็นงานผสมผสานตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนาของหลายประเทศรวมกันได้แก่ศรีลังกา ไทย อินเดีย และจีน ภายในวัดมีอยู่ด้วยกันหลายอาคารอันเป็นพิพิธภัณฑ์และแหล่งเก็บโบราณวัตถุทางพระพุทธศาสนาแทบจะทุกนิกาย รวมถึงสิ่งของล้ำค่าต่างๆ ที่ผู้ศรัทธานำมาถวายจัดแสดงเราได้ชมเป็นจำนวนมาก
วัดคงคารามเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่หกโมงเช้าถึงห้าทุ่ม (แต่พิพิธภัณฑ์เปิดถึงแค่หกโมงเย็น) ราคาค่าเข้าชมอยู่ที่ 300 รูปี (ประมาณ 75 บาท)
ตั๋วสำหรับเข้าชมวัดคงคารามราคา 300 รูปี (ประมาณ 75 นาท) มีโต๊ะจำหน่ายอยู่ตรงทางเข้าวัดครับ
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอิริยาบถต่างๆ ที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดคงคาราม
พระพุทธรูปแกะสลักบนแผ่นหินขนาดใหญ่
พระพุทธรูปองค์เล็กปางต่างๆ ที่ประดิษฐานอยู่บนแท่นหลังคาภายในทางเข้าพระอุโบสถวัด
พระสังกัจจายภายในวัดคงคาราม
รูปหล่อองค์พระเกจิ ที่ผมมองแล้วเดาว่าน่าจะมาจากประเทศไทย
รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมในอิริยาบถต่างๆ ที่ตั้งแสดงอยู่ภายในบริเวณวัดคงคาราม
รูปช้างสต๊าฟของจริงภายในวัดคงคาราม
รูปปั้นยักษ์สองตนยืนเฝ้าประตูที่มีศิลปะแบบจีน
ภาพแกะสลักนูนต่ำแสดงการละเล่นแบบฉบับศรีลังกา
ผมใช้เวลาประมาณเกือบ 3 ชั่วโมงเต็มในการเยี่ยมชมวัดคงคารามแห่งนี้ เพราะถึงแม้วัดจะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แค่ภายในวัดและพิพิธภัณฑ์นั้นมีงานศิลปะและของสวยๆ งามๆ ให้ชมนับพันชิ้น แต่ละชิ้นนั้นแปลกตาทั้งนั้น อีกทั้งบรรยากาศภายในวัดก็เงียบสงบ ทำให้ผมใช้เวลาบางช่วงนั่งเงียบๆ แบบปล่อยใจและจิตให้เคลื่อนไหวไปตามลมหายใจเข้าออก อารมณ์ตอนนั้นรู้สึกโล่งสุดๆ อย่างบอกไม่ถูก ถือเป็นการผ่อนคลายใจจากความยุ่งเหยิงต่างๆ ที่วกวนอยู่ในความคิดเราได้เป็นอย่างดี
หลังจากที่ผมเต็มอื่มกับวัดคงคารามแห่งนี้แล้ว เวลาสักประมาณห้าโมงผมก็เดินออกจากวัด เพื่อที่จะไปสนามบิน Colombo ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 35 กิโลเมตร โดยผมตั้งใจจะไปโดยรถประจำทางสาย 167 ตามที่ได้หาข้อมูลไว้ เริ่มจากผมหารถตุ๊กตุ๊กจากหน้าวัดเพื่อไปส่งผมที่สถานีขนส่ง (ที่ผมลงรถมาเมื่อตอนเช้า) โดยบอกคนขับว่าจะไปขึ้นรถประจำทางสาย 167 ซึ่งลุงแกบอกว่าไม่แน่ใจว่ารถบัสสายนี้จอดที่จุดไหนของสถานีขนส่ง แต่แกก็ใจดีพาไปขับวนหาจนเจอ ลุงแกคิดค่าไปส่งขึ้นรถบัสจากวัดคงคาราม 200 รูปี (ประมาณ 50 บาท) หลังจากที่ลุงพาไปส่งแทบจะถึงประตูรถแล้ว ผมก็ดิ่งไปถามกระเป๋ารถเลยว่า “Airport ???” ทางกระเป๋ารถก็บอกกลับมาว่า “ใช่แล้ว รถกำลังจะออก ขึ้นได้เลย” พอผมนั่งปุ๊บ ล้อก็หมุนทันที ราคาค่ารถจากในเมืองไปสนามบินอยู่ที่ 120 รูปี (ประมาณ 30 บาท) เป็นรถแอร์ด้วยนะครับ เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมได้นั่งรถแอร์ในศรีลังกา รถใช้เวลาราวๆ ชั่วโมงครึ่ง เพราะจอดรับส่งคนระหว่างทางและการจราจรภายในกรุง Colombo ช่วงเย็นนั้นสาหัสสุดๆ เรียกได้ว่าผมหลับได้ตื่นหนึ่งพอดี และไม่ต้องกลัวว่าจะนั่งเลยป้าย เพราะป้ายสุดท้ายของรถประจำทางสาย 167 คืออาคารผู้โดยสารขาออกของสนามบินนั่นเองครับ สบายใจได้ 😀
รถประจำทางสาย 167 (รถแอร์) จากสถานีขนส่ง Colombo ไปสนามบิน ทางเลือกในการไปสนามบินที่ประหยัดที่สุด
ผมไปถึงสนามบินประมาณหนึ่งทุ่มเศษๆ เหลือเวลาค่อนข้างเยอะ เพราะไฟลท์ผมเที่ยงคืน แต่ผมตั้งใจมาเร็วเนื่องจากจนถึงเวลานี้ผมยังไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไปฝากเพื่อนๆ เลย ผมเลยตั้งใจมาหาเอาที่สนามบิน เพราะถึงแม้ราคาจะสูงกว่าข้างนอกพอประมาณ แต่ก็ดีกว่าถือของพะรุงพะรังเดินเที่ยวครับ ผมใช้เวลาเดินซื้อของฝาก นั่งจัดกระเป๋า และรับประมานอาหารเย็นที่สนามบิน สักประมาณสี่หุ่มทาง Malindo Air ก็เปิดให้เช็คอิน ซึ่งไฟล์กลับผมต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ Kuala Lumpur เหมือนขามาครับ
ทริปศรีลังกาทริปนี้เป็นทริปสั้นๆ เพราะผมสามารถหาเวลามาได้เท่านี้และไปในสถานที่ที่ผมอยากจะไปจริงๆ ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับไฮไลต์ของประเทศนี้ตามที่บริษัททัวร์แนะนำ แต่ผมกลับมองว่าผมได้ไปตามทางที่ตัวเองวางไว้ เพราะผมอยากเห็นไร่ชาบนที่สูงและได้ลองสัมผัสบรรยากาศวัดพุทธแบบศรีลังกา เท่านี้ก็ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์ผมแล้วครับ อีกทั้งทริปนี้เป็นทริปที่เปิดหูเปิดตาผมมากที่สุดอีกทริปหนึ่ง เพราะประเทศแบบศรีลังกานั้นคงไม่มีประเทศไหนเหมือน เพราะเป็นประเทศชาวสิงหล (Sinhalese) ที่นับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลัก เรียกได้ว่านอกจากจะได้เห็นอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ หลายๆ อย่างบนประเทศที่เป็นเกาะเล็กๆ บนแผนที่โลกที่เราไม่นึกว่าจะมีในประเทศนี้ ผมยังได้ไปสัมผัสถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของประเทศที่นับถือศาสนาเดียวกับเราด้วยครับ
ประสบการณ์ชีวิตไม่ได้มีขายตามท้องตลาด อยากได้ต้องก้าวขาออกไปสัมผัสเองครับ 🙂
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::