ก่อนอื่นผมขอออกตัวก่อนว่าทริปนี้ผมเดินทางไปอินเดียด้วยเหตุผลเรื่องงาน ไม่ได้ไปเที่ยว แต่พอดีมีเวลาว่างอยู่ 1 วันซึ่งตรงกับวันอาทิตย์และผมพักอยู่ใกล้ถนนบริเกด (Brigade road) พอดี จึงถือโอกาสเดินเล่นชิวๆ พักผ่อน และซึมซับวิถีชีวิตในเมืองของชาวบังกาลอร์ดูบ้างครับ
อย่างที่บอกครับทริปนี้ผมบินเดี่ยวมาทำงานที่อินเดีย โดยภาระกิจส่วนมากนั้นอยู่ที่เมืองบังกาลอร์หรือเบงกาลูรู (Bangalore / Bengaluru) ซึ่งแต่เดิมนั้นเมืองนี้มีชื่อเดียวคือเบงกาลูรู ส่วนชื่อบังกาลอร์นั้นมาภายหลังจากที่อังกฤษเข้าปกครองอินเดียและเปลี่ยนชื่อเมืองสำคัญต่างๆ ให้เรียกง่ายและถนัดลิ้นมากขึ้น (เช่น Mumbai เป็น Bombay, Cochin เป็น Kochi หรือ Thiruvananthapuram เป็น Trivandrum) เมืองบังกาลอร์นั้นตั้งอยู่ค่อนไปทางใต้ของอินเดีย เป็นเมืองหลวงของรัฐกานาตากะ (Karnataka) หากลากเส้นในแนวนอนจากกรุงเทพจะพบว่าอยู่เกือบจะแนวเดียวกันพอดี แต่อากาศที่บังกาลอร์ไม่ร้อนแบบกรุงเทพครับ เพราะเมืองค่อนข้างสูงจากระดับน้ำทะเล อากาศตอนกลางวันประมาณ 27 – 33 องศาเซลเซียส ส่วนกลางคืนประมาณ 18 – 25 องศาเซลเซียส เรียกว่ากำลังสบาย บังกาลอร์เป็นเมืองใหญ่และเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของอินเดียซึ่งเติบโตเร็วมาก โดยมีชื่อเสียงที่สุดคือด้านคอมพิวเตอร์และไอที จนได้ชื่อว่า “Silicon Valley of India” ซึ่งแน่นอนครับสิ่งที่มาพร้อมเมืองใหญ่ก็คือคนหนาแน่นและรถติด นี่คือข้อมุลคร่าวๆ ของบังกาลอร์
ตำแหน่งของเมืองบังกาลอร์
ในส่วนของถนนบริเกดนั้น เป็นถนนที่ถือเป็นย่านธุรกิจสำคัญและใหญ่ที่สุดของเมืองบังกาลอร์ (และวุ่นวายที่สุดด้วย) เป็นถนนสายสั้นๆ ที่เชื่อมต่อระหว่าง MG Road และ Residency Road โดยส่วนที่น่าสนใจที่เป็นย่านร้านค้าและแหล่งท่องเที่ยวนั้นยาวประมาณ 1 กิโลเมตรเท่านั้น อยู่ในระยะที่พอเดินได้สบายๆ ถ้าหากเปรียบเทียบถนนบริเกดกับสักที่หนึ่งในกรุงเทพนั้น ผมขอเปรียบเทียบกับถนนข้าวสารแล้วกัน เพราะน่าจะใกล้กันที่สุดแล้ว เนื่องจากของร้านค้า ของซื้อของขายและลักษณะโดยรวมนั้นมีตั้งแต่ของพื้นเมือง ร้านของฝาก ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ (เช่น Pizza Hut, McDonald, KFC) แหล่งบันเทิง (เช่น ผับ หรือ Disco) ที่วันนี้ผมตัดสินใจมาใช้ชีวิตชิวๆ ที่ถนนบริเกดนั้นก็เพราะว่าผมได้ลองถามคนอินเดียเจ้าถิ่นก่อนหน้านั้นแล้วว่าผมควรจะใช้วันหยุดที่ไหน และเขาแนะนำว่าไม่มีที่ไหนน่าสนใจเท่าที่นี่
ผม : Tomorrow is my day-off. Where should I spend the time in Bangalore?
เจ้าถิ่น : Ahhh….You’re staying at right place. You can do interesting thing at Brigade road.
ผม : Interesting, not exciting? (ขออนุญาตกวนตรีนเขานิดหน่อย)
เจ้าถิ่น : Sure. Just interesting (พร้อมยิ้มแบบเป็นมิตรสไตล์อินเดีย)
วันนั้นผมตื่นสายประมาณสักเก้าโมงครึ่งเนื่องจากเป็นวันหยุด แล้วก็อาบน้ำแต่งตัวลงมาทานอาหารเช้าที่ชั้นล่างของโรงแรม วันนั้นบอกตรงๆ ว่าเอ้อระเหยมาก ทานข้าวเช้าเสร็จก็ยังไม่ไปข้างนอกเลย เพราะวิญญาณ Workaholic man เข้าสิง กลับขึ้นห้องไปเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อทำงาน พอทำงานเสร็จก็เกือบเที่ยง แล้วก็ดันเปิดทีวีในห้องดู โดยตอนนั้นเปิดไปที่ช่อง HBO และกำลังฉายเรื่อง Pirate of the Caribbean : At world end ตอนต้นเรื่องพอดี ตอนแรกนึกว่าเป็นแบบพากย์อินเดียเลยว่าจะปิด แต่พอเริ่มบทพูดกลับกลายเป็นว่าพากย์อังกฤษ (หนังฝรั่งที่อินเดียเกือบ 100% พากย์อังกฤษครับ เรียกได้ว่าเป็นภาษาที่สองของคนที่นี่เลย) เลยนั่งดูสักหน่อย ดูไปดูมาชักมันส์ ดูจนจบเรื่องเลย สรุปตอนนั้นบ่ายสองพอดี ชักเริ่มหิวอีกรอบเลยตัดสินใจไปเดินเล่นถนนบริเกดตามคำแนะนำดีกว่า
สิ่งแรกที่ผมไปหาที่ถนนบริเกดเลยก็คือ “ของกิน” ครับ ซึ่งจุดยืนผมชัดเจนครับว่าไปที่ไหนต้องลอง KFC ของที่นั่น ว่าแล้วก็ตรงดิ่งเข้าไปหาร้าน KFC ทันที จากนั้นก็จัดการสั่งไก่ทอด เฟรนซ์ฟรายและเป๊ปซี่ตามระเบียบ และเนื่องด้วยวัฒนธรรมของอินเดียนั้นใช้มือเปิบอาหารอยู่แล้ว จึงไม่ต้องแปลกใจว่า KFC ของที่นี่นั้นไม่มีมีดและส้อมแต่อย่างใด ใช้มือจับเข้าปากเท่านั้น และเมื่อไก่ทอดเข้าปากคำแรก ขอบอกเลยว่าผมอยู่ที่อินเดียของจริง เพราะรสชาติมันคือไก่ทอดสไตล์ Kentucky ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเครื่องเทศ โดยมีกลิ่นขมิ้นแรงกว่าเพื่อน (ไก่ทอดโรยผงกะหรี่ชัดๆ) แต่ก็กินจนหมดเพราะหิว (และเสียดาย) ส่วนเฟรนซ์ฟรายนั้นปกติ เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู แต่ดูจากภายนอกแล้วเหมือนไก่ทอด KFC ทั่วไป
ที่ตั้งของร้าน KFC ที่ถนนบริเกด
เมื่อท้องอิ่มแล้วก็ถึงเวลาเดินสำรวจของซื้อของขายและสภาพแวดล้อมของถนนบริเกดกันครับ โดยผมเริ่มเดินตั้งแต่หัวถนนเลย (หัวถนนอยู่ใกล้ๆ ร้าน KFC ตรงที่มีรางรถไฟฟ้าพาดผ่าน) ก็อย่างที่บอกครับ ข้าวของที่นี่มีทุกอย่างเปรียบเหมือนข้าวสารบ้านเรา ตามข้างทางก็เป็นของพื้นเมืองหรือของสด ตามร้านก็เป็นพวกของที่ระลึกกับมีร้านแบรนด์เนมบ้าง ตามซอยก็จะเป็นพวกแหล่งอโคจร เช่น ผับ หรือร้านเหล้า ซึ่งดูค่อนข้างมิดชิดไม่โจ่งแจ้งเหมือนบ้านเรา
ร้านขายผลไม้สดที่ถนนบริเกด ส่วนมากก็เป็นผลไม้เมืองร้อนคล้ายๆ บ้านเรา เช่นกล้วย มะม่วง และมีผลไม้เมืองหนาวบ้าง
ตำรวจอินเดียยืนสังเกตการณ์บริเวณแยกวุ่นวายใจกลางถนนบริเกด
อาคารนี้ด้านในเป็นเหมือน Shopping Center ขนาดย่อมๆ มีร้านเล็กๆ ด้านในหลายร้าน ส่วนมากเป็นร้านเสื้อผ้าและของฝาก/ของที่ระลึก
คิวตุ๊กตุ๊กมิเตอร์ตรงหัวมุมของถนนบริเกด
บรรยากาศความวุ่นวายและคับคั่งของถนนบริเกด
ภาพบรรยากาศโดยรวมของถนนบริเกดตอนประมาณบ่ายสามโมง
ซอยเล็กๆ ตามถนนบริเกดนั้นมีทั้งร้านขายของและแหล่งอโคจรครับ บางร้านยังปิดอยู่ เข้าใจว่าคงเปิดเฉพาะกลางคืน
ผับที่ถนนบริเกดครับ เปิดกันตั้งแต่หัววันเลย มีการ์ดยืนคุมตั้งแต่หน้าประตู ไม่กล้าถ่ายตรงๆ รีบถ่ายภาพเลยออกเบลอๆ
นักท่องเที่ยวกำลังเลือกซื้อและต่อรองกับคนขายกลองที่ระลึก
บริเวณหัวถนนฝั่ง MG Road มีรางรถไฟฟ้าพาดผ่าน (บังกาลอร์ก็มีรถไฟฟ้าด้วยนะ แต่เสียดายผมไม่มีโอกาสได้ไปลองใช้บริการ)
ร้านของแบรนด์เนมและร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ตามถนนบริเกด
ระบบจอดรถที่ถนนบริเกด จากข้อมูลที่ผมหามาได้คือที่นี่นำเข้าระบบจอดรถแบบมิเตอร์ที่นำเข้ามาจากฝรั่งเศส สามารถรองรับได้ 85 คัน
ผมใช้เวลาเดินเล่นไปตามถนนบริเกดและตามซอยเล็กซอยน้อยประมาณ 2 ชั่วโมงครับ ซอยไหนที่ดูแล้วไม่ค่อยน่าไว้ใจหรือไม่ปลอดภัยผมก็ไม่เสี่ยง (ถึงแม้จะเป็นขาเที่ยวแบบลุยๆ อยู่แล้ว แต่อะไรที่มันดูแล้วเสี่ยงกับพวกอาชญากรรม ผมก็ขอผ่านครับ) สักประมาณห้าโมงเย็นผมก็รู้สึกหิว เหนื่อย และร้อน อยากกินอะไรหวานๆ เย็นๆ เลยลองหาร้านที่ขายขนมดู ไปเจอร้าน Krispy Kreme ตั้งอยู่ในซอยๆ หนึ่งใกล้ๆ หัวถนนฝั่ง MG Road ประกอบกับผมไม่เคยได้ลองโดนัทเจ้าดังเจ้านี้ที่เมืองไทยสักที เพราะว่าคิวยาวมว๊าาากกก กว่าจะได้กินลำบากเกิน (ผมไม่ใช่คนที่ไขว่คว้าหาของกินที่มันยากขนาดนั้น เพราะเป็นพวกลิ้นจระเข้) แต่ที่นี่ไม่มีคนเลยครับ ร้านโล่งสุดๆ ไม่มีแขกสักโต๊ะ ผิดกับประเทศไทยเราสุดๆ เลยตัดสินใจเข้าไปลองดูสักครั้งในชีวิต ตอนเข้าไปพนักงานก็เปิดเพลงแนวแขกๆ อินเดียกันฟังซะลั่นร้านเลย พอเห็นผมเข้าไปเท่านั้นแหละ เขารีบเปลี่ยนเพลงไปเป็น Justin Bieber ทันที คงประมาณว่าทางร้านบังคับให้เปิดเพลงฝรั่งอยู่แล้ว แต่เห็นไม่มีลูกค้าเลยแอบเปิดเพลงแขกฟังกันเองซะอย่างงั้น ว่าแล้วก็สั่งโดนัทมา 1 ชิ้น พร้อมสตรอเบอรี่สมู๊ตตี้มา 1 แก้ว (จำไม่ได้ว่าโดนัทชื่ออะไร เพราะชื่อมันจำยาก) รสชาติเข้าขั้นอร่อยเลยทีเดียว (อย่างน้อยก็ไม่มีกลิ่นเครื่องเทศแบบ KFC 🙂 ) แต่ผมบอกไม่ได้ว่าเทียบกับที่เมืองไทยเป็นยังไงเพราะไม่เคยลองสักกะที
Krispy Kreme ไปนั่งกินที่ถนนบริเกด ร้านโล่งมากไม่มีคน ตอนผมนั่งอยู่เห็นมีแค่ผู้หญิงฝรั่ง 2 คนเข้าไป นอกนั้นไม่มีใครเข้าเลย
หลังจากที่จัดการ Krispy Kreme เรียบร้อยแล้ว ผมก็ชักเหนื่อย (งานที่ผ่านมาตลอดสัปดาห์มันเหนื่อยนะ ไม่ใช่อายุผมมาก 😀 ) สักประมาณหกโมงเย็น ผมก็ขอเดินกลับไปโรงแรมเพื่อขอพักผ่อนอยู่ที่ห้องดีกว่า เพราะอารมณ์ตอนนั้นอยากจะนอนเล่นซะมากกว่า โดยที่โรงแรมผมอยู่ไม่เกิน 300 เมตรจากย่านใจกลางถนนบริเกดครับ เดิน 5 นาทีก็ถึง สรุปว่าวันนี้ถือเป็นวันพักผ่อนที่ออกจะอินดี้วันหนึ่ง อยากออกไปตอนไหนก็ออก อยากกลับก็กลับ อยากกินก็กิน แต่เป็นการอินดี้ถึงเมืองแขกอย่างอินเดีย เรียกได้ว่ามีสีสันดีครับ หลายๆ อย่างนั้นแปลกตาเราดี แต่มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันกับบ้านเรา ซึ่งนั่นก็คือวันหยุดนั้นบางคนก็ยังดิ้นรนหาเลี้ยงตัวเองไป บางคนก็ได้หยุดพักและใช้ชีวิตไปกับวันพักผ่อนของตัวเอง เป็นระบบที่สังคมเมืองสร้างมันขึ้นมา และยังคงจะดำเนินแบบนี้ต่อไป ส่วนผมนั้นก็ถือว่าวันนี้เป็นวันพักผ่อนไป เพื่อที่จะได้ชาร์ตแบตให้เต็มเตรียมพร้อมที่จะลุยงานในวันต่อไป