วันนี้พวกเราตื่นกันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเพื่อที่จะได้ลงไปรับประทานอาหารเช้าให้เรียบร้อยและก็เก็บข้าวเก็บของเช็คเอาท์จากโรงแรม เพราะวันนี้เป็นวันที่เราจะต้องเดินทางกลับเมืองไทยในเวลาประมาณห้าโมงเย็น แต่ก่อนจะกลับนั้นพวกเรามีเวลาประมาณเกือบเต็มวันที่จะได้ตามเก็บสถานที่สำคัญของอู่ฮั่นให้ครบ โดยเป้าหมายของเราในวันนี้คือพิพิธภัณฑ์แห่งมณฑลหูเป่ย (Hubei Provincial Museum)
พวกเราจัดการธุระส่วนตัวและเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมประมาณแปดโมงครึ่ง จากนั้นเราก็เดินไปเรียกแท็กซี่ที่หน้าโรงแรมเพื่อไปพิพิธภัณฑ์แห่งมณฑลหูเป่ย โดยครั้งนี้ไม่ต้องถึงมือแม่ผมในการคุยกับแท็กซี่ เพราะผมเพียงโชว์รูปพิพิธภัณฑ์ให้แท็กซี่ดูก็เป็นอันรู้กัน แท็กซี่ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็พาเรามาส่งถึงพิพิธภัณฑ์ครับ เพราะว่าวันนี้เป็นเช้าวันเสาร์ รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่
พิพิธภัณฑ์แห่งมณฑลหูเป่ยเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของจีน ตั้งอยู่บนถนนตงหูซึ่งเป็นถนนที่ตัดเลาะไปตามทะเลสาบตงหู เป็นพิพิธภัณฑ์ระดับมณฑลที่มช้แสดงวัตถุโบราณต่างๆ กว่า 200,000 ชิ้น ว่ากันว่าหากจะดูให้ครบทุกชิ้นนั้น ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวันถึงหนึ่งวัน (วันนี้เรามีเวลาครึ่งวัน หวังว่าจะพอให้ดูครบทุกชิ้นนะ 🙂 ) พิพิธภัณฑ์แห่งมณฑลหูเป่ยเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรีทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) ตั้งแต่เวลาเก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น (ปิดรับนักท่องเที่ยวตอนสี่โมงเย็น) โดยนักท่องเที่ยวจะต้องเดินทางเข้าคิวไปรับบัตรเข้าชมที่ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เองวันต่อวัน และจำกัดนักท่องเที่ยวไม่เกินวันละ 2,000 คนเท่านั้น หากเป็นวันเสาร์-อาทิตย์แนะนำว่าควรไปถึงตั้งแต่เช้าหน่อยไม่งั้นคิวยาวแน่ๆ และหากใครมีกระเป๋าใบใหญ่ไปด้วย (เช่นกระเป๋าลาก) ทางพิพิธภัณฑ์ไม่ให้เอาเข้าไปครับ ต้องไปฝากไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์หลังที่รับตั๋วเข้าชม โดยทางพิพิธภัณฑ์ให้ฝากฟรี
ป้ายด้านหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งมณฑลหูเป่ย
บรรยากาศด้านหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งมณฑลหูเป่ยก่อนประตูเปิด
เข้าแถวรับบัตรเข้าพิพิธภัณฑ์
ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เมื่อผ่านประตูเข้ามาแล้ว
เมื่อเข้าไปด้านในแล้วพวกเราพบว่าการจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์นั้นจะแบ่งออกเป็นห้องๆ โดยแต่ละห้องนั้นจะรวบรวมวัตถุโบราณประเภทเดียวกันและอยู่ในยุดเดียวกันไว้ด้วยกัน โดยวัตถุโบราณที่ขึ้นชื่อที่สุดของพิพิธภัณฑ์แห่งมณฑลหูเป่ยแห่งนี้คือ ชุดราวระฆังอายุกว่า 2,400 ปีจากหลุมศพของกษัตริย์เฉิงโฮ่วอี้ ซึ่งเมื่อผมเห็นชุดระฆังนี้ทำให้นึกถึง “เล่าฮก” ยอดนักแต่งเพลงและนักดนตรีแห่งยุคสามก๊กขึ้นมาในทันใด ซึ่งเล่าฮกนั้นก็เป็นหนึ่งในครูเพลงที่มีฝีมือในการออกแบบระฆังชุดเพื่อใช้ในการแสดงต่อหน้าชนชั้นสูงในยุคนั้นเช่นกัน เล่าฮกถูกโจโฉฆ่าตายด้วยความเมาในระหว่างที่โจโฉกำลังร่ายกวีในงานเลี้ยงกับเหล่าขุนศึกอยู่ในค่ายระหว่างกำลังออกศึกเซ็กเพ็ก (ศึกผาแดงที่สุดท้ายนั้นโจโฉแตกทัพเรือกลับไป) โดยโจโฉให้เล่าฮกวิจารณ์บทกวีของโจโฉ ครั้งแรกนั้นเล่าฮกบอกว่าบทกวีนั้นดีอยู่แล้วไม่มีที่ติ แต่โจโฉกลับบอกว่าเล่าฮกมีแต่ชม อยากให้วิจารณ์มาตรงๆ ว่าแล้วเล่าฮกก็บอกตามตรงไปว่ามีบางจุดยังไม่ถูกอักขระดีนัก โจโฉที่เมาอยู่แล้วก็โกรธจัด คว้าเอาหอกแทงเล่าฮกจนตาย สุดท้ายเมื่อสร่างเมาก็ได้แต่เสียใจที่ตนนั้นเป็นผู้ที่ลงมือฆ่ากวีแห่งยุคที่หาที่ใดไม่ได้อีกแล้ว
นอกจากชุดราวระฆังพิพิธภัณฑ์แห่งมณฑลหูเป่ยยังมีวัตถุโบราณอื่นๆ ที่เก็บสะสมมาได้จากประเทศจีนตั้งแต่ยุคโบราณสมัยมีฮ่องเต้เป็นกษัตริย์ จนถึงยุคปฏิวัติระบอบการปกครอง เช่นยุคเจียงไคเช็ก เหมาเจ๋อตุง เป็นต้น โดยประเภทของวัตถุโบราณนั้นมีตั้งแต่เสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ภายในวัง อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ข้าวของเครื่องใช้ของชาวจีนโบราณ เงินทองของมีค่ายุดเก่า ตลอดจนโครงกระดูกและหลุมศพ และในช่วงที่พวกเราไปนั้นทางพิพิธภัณฑ์ได้อยู่ในช่วงจัดแสดงวัตถุโบราณของนโปเลียนที่ได้รับมาจากฝรั่งเศสเพื่อใช้จัดแสดงชั่วคราวด้วย
น้ำพุและสะพานเล็กๆ หน้าทางเข้าภายในอาคารพิพิธภัณฑ์
ห้องโถงใหญ่ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์เป็นที่ตั้งของโต๊ะประชาสัมพันธ์และป้าย Directory
แจกันและจอกเหล้าโบราณ
พื้นที่ขุดค้นวัตถุโบราณ
(ผมไม่มั่นใจว่าพิพิธภัณฑ์จำลองมาหรือมาจากสถานที่จริง)
ของตกแต่งชิ้นเล็กๆ สมัยโบราณ
เครื่องประดับตกแต่งของชาวจีนโบราณ
เหยือกน้ำและจอกเหล้า
หินแร่และมรกตที่ถูกขุดค้นได้
ซากโครงกระดูกยุคเก่าที่ขุดค้นพบ
ปืนใหญ่โบราณยุคปฏิวัติจีน
ปืนใหญ่ที่ถูกจัดแสดงที่บริเวณด้านนอกระเบียงพิพิธภัณฑ์ชั้นบน
(ผมเดาว่าไม่ได้ขึ้นสนิมเพราะเก่า แต่ขึ้นสนิมเพราะตากฝนแทน 😀 )
วิวด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เมือมองมาจากฃั้นบนของตัวอาคาร
รูปปั้นนโปเลียนหน้าส่วนจัดแสดงพิเศษที่ช่วงนั้นมีการแสดงเรื่องราวของนโปเลียนพอดี
เครื่องหมายสัญลักษณ์ อาวุธและเครื่องแต่งกายประจำตัวของนโปเลียน
ชุดระฆังที่เป็นไฮไลต์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
โลงศพตามความเชื่อของชาวจีนยุคก่อน
เครื่องตกแต่งบ้านของชนชั้นสูง
รูปนี้เป็นคนยุคปัจจุบันนะครับ ไม่ใช่วัตถุโบราณ
พวกเราใช้เวลาอยู่ในพิพิธภัณฑ์แทบทั้งวันจนถึงประมาณบ่ายสองโมงครึ่ง เพราะมีของให้เราดูเยอะมากจริงๆ แต่ละชิ้นก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เรียกได้ว่ามาที่นี่ได้รู้เกี่ยวกับความเป็นไปของประเทศจีนตั้งแต่อดีตกันเลยทีเดียว แต่ข้อเสียของที่นี่นั้นเรามารู้กันเมื่อประมาณตอนเที่ยงเมื่อพวกเราเริ่มหิวข้าวกัน ผมเดินไปถามเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ว่าที่นี่หรือแถวๆ นี้มีอะไรให้กินบ้าง แต่เจ้าหน้าที่ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้อีกต้องลำบากแม่ผมมาช่วยคุย สุดท้ายได้ความว่าที่นี่มีโรงอาหารอยู่ที่เดียว ซึ่งเขาก็บอกทางแม่ผมว่าไปทางไหน พอเราไปถึงคนก็ไม่ถึงกับเยอะเท่าไหร่ แต่มีร้านอาหารอยู่ร้านเดียวและขายเป็นข้าวกล่องสำเร็จ เราจึงเหลือตัวเลือกอยู่ว่า “จะกินหรือไม่กินแค่นั้น” สุดท้ายก็ต้องกิน เพราะหิวและไม่รู้จะไปหากินที่ไหนได้แล้ว ซึ่งอาหารก็เป็นคล้ายกุยช่ายผัดไข่ ผัดแตงกวา และผักดอง ที่มาพร้อมกับข้าวและน้ำซุปใสๆ จืดๆ ราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่ประมาณ 10 หยวน (50 บาท) ส่วนรสชาติไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะเหมาะแก่ผู้รักษาสุขภาพมากๆ เนื่องจากจืดสนิทและมีแต่ผักล้วนๆ แต่ก็ช่วยให้พวกเรารอดพ้นความหิวมาได้ แต่ที่ดีหน่อยคือตรงใกล้ๆ โรงอาหารมีร้านกาแฟสดอยู่ 1 ร้าน ที่พอให้เราได้มีอะไรกินล้างปากบ้าง รสชาติกาแฟก็มาตรฐานทั่วไป แต่กาแฟแอบแพงไปหน่อย ตกราคาแก้วละ 20 – 25 หยวน หรือประมาณ 100 – 125 บาท
ข้าวเที่ยงของพวกเราในวันนี้ กินเพื่ออยู่ครับ
เมื่อสักประมาณบ่ายสองโมงครึ่งเราก็ขอโบกมือลาพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เพื่อที่จะเดินทางไปสนามบินอู่ฮั่นและเดินทางกลับกรุงเทพ โดยเราเดินออกมาด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เพื่อเรียกแท็กซี่เพื่อไปสนามบิน ครั้งนี้ผมขอโชว์ฝีมือเรียกแท็กซี่เอง โดยถามแม่ว่า “มาม๊า…แท็กซี่ภาษาจีนว่ายังไง” แม่ผมก็ตอบในทันใดว่า “จี๊-ชาง (机场)” เมื่อเห็นแท็กซี่ผ่านมาผมก็จัดการโบกมือเรียก เมื่อเขาจอดผมก็เปิดประตูพร้อมพูดว่า “จี๊-ชาง” คนขับก็พยักหน้าเป็นอันว่าผมทำสำเร็จ (555+ ภูมิใจ) ระหว่างทางที่นั่งไปสนามบินนั้นแม่ผมก็เม้าท์กับแท็กซี่ตามระเบียบ แล้วก็เจอคำถามเดิมๆ จากแท็กซี่ว่า “ทำไมลูกชายทั้งสองคนไม่พูดจีน” สงสัยถ้าเรียนภาษาจีนคงจะรุ่ง เพราะคนจีนยังคิดว่าหน้าเราให้พูดจีนเลย
แท็กซี่ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็พาเรามาถึงสนามบินอู่ฮั่น ค่าแท็กซี่ประมาณ 95 หยวน (475 บาท) ถูกกว่าขามาที่โดนหลอกให้เหมาเกินครึ่งเลย เรามาถึงสนามบินเวลาประมาณบ่ายสามโมงเศษ ซึ่งเป็นเวลาก่อนเครื่องออกประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งเวลาเหลือเฟือ เพราะอาคารผู้โดยสารภายในประเทศนั้นเล็กและคนไม่เยอะเท่าไหร่ เราต้องนั่งรอเคาน์เช็คอินเปิดอีกต่างหาก เพราะมาถึงเร็วไปด้วยซ้ำ ระหว่างที่นั่งรอพวกเราก็คุยกับแม่ว่ามาเที่ยวเป็นยังไง อันไหนดี อันไหนไม่ดี ส่วนมากแม่ผมไม่วิจารณ์ที่เที่ยวหรอก แต่วิจารณ์คนจีนมากกว่า กับพูดเกทับพวกผมว่าถ้าแกไม่มาด้วยสงสัยพวกผมไปไหนไม่รอดแน่ เพราะพูดจีนไม่ได้ อันนี้ต้องยอมแกครับ เพราะเป็นเรื่องจริง 555+
เมื่อถึงเวลาเราก็ไปเช็คอินโหลดกระเป๋าและไปรอที่ทางออกขึ้นเครื่อง วันนี้เครื่องออกตรงเวลา เรามาถึงกรุงเทพประมาณเกือบสองทุ่ม ตลอดทางที่แม่นั่งอยู่บนเครื่องนั้นผมรู้สึกว่าแกมีความสุขมากจริงๆ ที่ได้มาเที่ยวกับลูก ได้ใช้เวลาด้วยกัน จากที่เราไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันนานๆ แบบนี้มาหลายต่อหลายปี ผมเองเมื่อเห็นแกมีความสุขแบบนั้นก็พลอยดีใจไปด้วยว่าเราสามารถทำให้แกมีความสุขขนาดนั้นได้ และหากมีโอกาสอีกผมเองก็จะไม่พลาดที่จะไปเที่ยวกับพ่อแม่และน้องๆ อีก เพราะมันเป็นสิ่งที่เราสามารถหยิบยื่นความสุขให้กันได้โดยที่ไม่ต้องกล่าวออกมาเป็นคำพูด ทริปเมืองจีนคราวนี้ถึงแม้มันจะเป็นเวลาสั้นๆ แค่ 3 วัน แต่ผมมั่นใจว่า ผมสามารถจำมันได้ตลอดชีวิตของผมแน่นอน ผมมั่นใจ