วันนี้พวกเราตื่นกันตั้งแต่ประมาณก่อนเจ็ดโมงครับ เพื่อที่จะได้อาบน้ำแต่งตัวและกินข้าวเช้าให้เรียบร้อย เพราะว่าวันนี้เรามีแผลนที่จะออกไปเยือนเมืองจิ้งโจว (หรือเมืองเกงจิ๋วในสามก๊ก เมืองสุดท้ายที่กวนอูได้เป็นเจ้าเมืองก่อนจะถูกพิชิตโดยลิบอง แม่ทัพใหญ่ของซุนกวน) เราจองตั๋วรถไฟเวลาประมาณเก้าโมงเอาไว้ แต่เราต้องไปถึงที่สถานีรถไฟฮั่นโข่ว (Hankou Railway station) ก่อนแปดโมงครึ่ง เพราะว่าเราซื้อตั๋วผ่านเอเยนต์เอาไว้ เราจะต้องไปรับตั๋วจริงที่สถานีรถไฟก่อนขึ้นรถประมาณ 30 นาที ประมาณสักเจ็ดโมงครึ่งพวกเราก็ออกจากโรงแรมเพื่อไปสถานีเมโทรที่อยู่ใกล้ที่สุดนั่นคือสถานี Xunlimen ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเมโทรสายที่ 1 (สีน้ำเงิน) และสายที่ 2 (สีชมพู) เมื่อไปถึงแล้วเราก็ไม่รอช้า ผมรีบไปซื้อตั๋วเมโทรที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติทันที ซึ่งตู้อัตโนมัตินี้มีเมนูภาษาอังกฤษให้ใช้ด้วย ส่วนราคาค่าตั๋วอยู่ที่ 2 หยวน (10 บาท) ตลอดสาย แหม่…มันช่างถูกมากเมื่อเทียบกับบ้านเรา เรานั่งเมโทรสายที่ 2 (สีชมพู) ไป 5 สถานีก็ถึงสถานีรถไฟฮั่นโข่วพอดี ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที แต่สภาพเมโทรตอนเช้าๆ ในช่วงเวลาเร่งด่วนนั้นสุดแสนจะบรรยายครับ คนแน่นมากๆ
เหรียญโดยสารของเมโทรในอู่ฮั่น ราคา 2 หยวนตลอดสาย (ประมาณ 10 บาท)
เมื่อไปถึงสถานีรถไฟประมาณแปดโมงสิบห้าแล้วผมก็รีบหาเคาน์เตอร์ขายตั๋วทันทีเพื่อไปแลกเอาตั๋วจริงสำหรับขึ้นรถไฟ ซึ่งจากที่ทางออกเมโทรนั้นเชื่อมต่ออยู่กับชั้นใต้ดินของสถานีรถไฟ เคาน์เตอร์ที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ที่ชั้นใต้ดินนี่แหละ ผมเดินไปต่อคิวแลกตั๋ว ซึ่งคิวก็ยาวพอสมควรใช้เวลาเกือบ 15 นาทีกว่าจะถึงคิวผม ผมก็ยื่นเอกสารจองตั๋วผ่านเอเยนต์พร้อมพาสปอร์ตของเราทั้งสามคนให้เจ้าหน้าที่ แต่เรื่องร้ายก็บังเกิด เจ้าหน้าที่พูดอังกฤษไม่ได้ และพูดอะไรก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือไม่สามารถออกตั๋วให้ผมได้ (ตอนนั้นแม่ผมไม่ได้อยู่ด้วย ผมให้แกนั่งรอกับน้องตรงใกล้ๆ ทางเข้าชานชาลา) โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่ผู้ชายออกจะเด็กๆ คนหนึ่งพูดอังกฤษได้แล้วบอกผมว่าเคาน์เตอร์นี้ไม่ใช่เคาน์เตอร์หลัก ออกตั๋วผ่านเอเยนต์ไม่ได้ จำเป็นต้องไปออกที่เคาน์เตอร์หลักตรงหน้าสถานี และแกอาสาพาผมเดินไปที่นั่นด้วย (เป็าเจ้าหน้าที่ที่น่ารักมากครับ Service mind สุดยอด) ผมเดินตามเจ้าหน้าที่คนนั้นขึ้นไปชั้นบนของสถานีซึ่งเป๋นช่องขายตั๋วหลัก ระหว่างทางก็กังวลมาก เพราะตอนนั้นก็ใกล้เวลารถออกเต็มที พอไปถึงเคาน์เตอร์ชั้นบนแกก็รู้ว่ารถไฟผมใกล้ออกแล้ว แกจึงพาไปลัดคิวให้ และได้ตั๋วมาสมใจในเวลา 8.45 น.
หลังจากได้ตั๋วแล้วผมวิ่งใส่เกียร์หมาไปหาแม่และน้องทันทีเพราะกลัวจะไม่ทันรถไฟ เรารีบไปที่ชานชาลาผ่านการตรวจเช็ค Security ให้เรียบร้อยและไปรอที่ท่าเทียบรถไฟทันที ตอนไปถึงนั้นเรายังมีเวลาประมาณ 10 นาทีก่อนรถออก จึงมีเวลาไปเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย ซึ่งห้องน้ำชายนั้นบอกตามตรงว่ากลิ่นบุหรี่อบอวลสุด ส่วนห้องน้ำหญิงนั้นแม่ผมบอกว่าเกิดมา 60 กว่าปี ไม่เคยเจออะไรที่มันฝันร้ายขนาดนี้ (หวังว่าคงจะคิดภาพออกนะ 🙂 ) และเนื่องจากเราจองตั๋วเป็นแบบ First Class ทำให้คิวเราค่อนข้างสั้นในการต่อแถวขึ้นรถไฟ ดังนั้นจึงมีเวลาทำธุระส่วนตัวเยอะหน่อย (ผมศึกษามาสักหน่อยแล้วว่าของตั๋ว First class ของรถไฟจีนดีที่สุด ไม่ใช่แค่นั่งสบาย แต่เพื่อหลีกเหลี่ยงความชุลมุน กลิ่นบุหรี่ ความรุงรัง ได้เป็นอย่างดี) เรายืนรอประมาณ 5 นาทีก็ได้เวลาขึ้นรถไฟ ขอบอกว่ารถไฟขบวนนี้เป็นรถผ่าน จอดที่สถานีฮั่นโข่วแค่ 5 นาทีเท่านั้น แม่ผมที่ขาไม่ค่อยดีเท่าไหร่จึงลำบากพอสมควร เพราะต้องรีบขึ้นรถ เราจึงตัดสินใจเดินเข้าตู้ขบวนชั้นสอง (Second class) เพื่อจะได้ขึ้นรถไฟให้ได้ก่อน แล้วค่อยเดินไปหาตู้ของ First Class ขณะที่เราเดินผ่านตู้ชั้นสองนั้น พบว่าโชคดีที่ตัดสินใจถูกเดินทางด้วย First class เพราะมีทั้งคนสูบบุหรี่ ตั้งโต๊ะเล่นไพ่ คุยกันเสียงดัง ฯลฯ ต่างกับ First class ที่เงียบและดูเป็นส่วนตัวมากกว่ากันเยอะครับ เมื่อถึงตู้ First class เราก็นั่งที่นั่งของเราที่จองไว้ พอนั่งปุ๊บรถไฟก็ออกทันที รถไฟความเร็วสูงของจีนใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงครึ่งก็มาถึงสถานีรถไฟจิ้งโจวซึ่งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฮั่นโข่วประมาณ 250 กิโลเมตร ความเร็วสุงสุดที่รถไฟวิ่งคือ 194 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ค่ารถไฟอยู่ที่คนละ 110 หยวนต่อเที่ยว (ประมาณ 550 บาท) ราคานี้ซื้อผ่านเอเยนต์ครับ เห็นข้อมุลบางแหล่งบอกว่าหากสื่อสารภาษาจีนได้และไปซื้อเองที่เคาน์เตอร์จะได้ราคาถูกกว่านี้มาก คิดไปคิดมาเมืองไทยก็น่ามีรถไฟความเร็วสูงบ้างนะ หวังว่าผมคงจะทันได้ใช้เร็วๆ นี้
- ด้านหน้าทางเข้าอาคารชานชาลาของสถานีรถไฟฮั่นโข่ว
รอประตูเปิดไปชานชาลาเพื่อขึ้นรถไฟ (Boarding Gate)
เมื่อประตูชานชาลาเปิดผู้คนก็เร่งไปขึ้นรถไฟทันที เพราะรถขบวนนี้เป็นรถผ่าน จอดแค่ 5 นาทีเท่านั้น
ด้านหน้าของขบวนรถไฟความเร็วสูงจีน
(ผมนี่รีบวิ่งมาถ่ายรูปนี้ก่อนรถออกเลยทีเดียว กลัวไม่ได้รูปด้านหน้า)
บรรยากาศที่นั่ง First Class ดูค่อนข้างเป็นส่วนตัวดีครับ
ความเร็วสูงสุดที่ผมสังเกตได้อยู่ที่ 194 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (รถไฟขบวนที่ผมนั่งเป็นขบวนแบบ H ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเร็วเป็นอันดับที่สองของรถไฟจีน)
บรรยากาศชานชาลาของสถานรถไฟจิ้งโจว
ขอเซลฟี่กับขบวนรถไฟความเร็วสูงแดนมังกรเป็นที่ระลึกหน่อย
ลานกว้างๆ ด้านหน้าสถานีรถไฟจิ้งโจว
หลังจากลงรถไฟที่สถานีจิ้งโจวเวลาประมาณสิบโมงครึ่งแล้ว พวกเราก็จัดการโบกแท็กซี่หน้าสถานีรถไฟตรงดิ่งไปยังเป้าหมายแรกของเราในวันนี้ ซึงนั่นก็คือกำแพงเมืองจิ้งโจว เมืองจิ้งโจวหรือเกงจิ๋วนั้นเป็นเมืองที่ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในยุคสามก๊ก ในสมัยนั้นอาณาบริเวณของจิ้งโจวนั้นใหญ่เประมาณประเทศไทยของเรา ทั้งโจโฉ เล่าปี่ และซุนกวนต่างต้องการถือครองเมืองนี้มาก เพราะเป็นจุดศูนย์กลางของก๊กทั้งสามพอดี แต่เดิมนั้นจิ้งโจวนั้นเป็นของเล่าเปียว แต่เล่าเปียวนั้นเป็นผู้ไร้ความทะเยอทะยาน มีเมืองจิ้งโจวอยู่ในมือแล้ว จะขยายอาณาเขตนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่กลับพอใจที่จะถือครองแค่นั้น เพราะคิดแต่ว่าตนชรามากแล้วไม่ต้องการอะไร อีกทั้งบุตรทั้งสองที่ชื่อว่าเล่ากี๋และเล่าจ๋องนั้นไร้ซึ่งสติปัญญา เมื่อเล่าเปียวถึงแก่กรรม เล่ากี๋และเล่าจ๋องก็มีปัญหากันเรื่องแย่งกันครองเมือง สุดท้ายผู้ที่ได้ไปคือโจโฉที่ใช้อุบายในการเข้ายึดครองจิ้งโจว และใช้เป็นฐานที่มั่นในการเปิดศึกผาแดง (ศึกเซ็กเพ็ก) กับเล่าปี่และซุนกวนที่เป็นพันธมิตรกันชั่วคราว แต่ด้วยทัพโจโฉเป็นคนทางเหนือไม่คุ้นการทำศึกโดยทัพเรือ และตอนนั้นโจโฉลำพองตนว่ามีทหารถึงร้อยหมื่น สามารถขยี้เล่าปี่และซุนกวนได้ในพริบตา แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยการร่วมมือของพันธมิตรซุน-เล่า ที่มียอดมันสมองอย่างขงเบ้งและจิวยี่เป็นผู้นำทัพ จึงทำให้โจโฉแตกทัพกลับไปในที่สุด ภายหลังเสร็จศึกผาแดง ขงเบ้งก็ใช้อุบายล่อหลอกฝั่งซุนกวนจนได้ครองเมืองจิ้งโจวต่อจากโจโฉเป็นเวลาหลายสิบปี ซุนกวนนั้นคับแค้นใจมาก ได้แต่เก็บความแค้นนี้ไว้เพราะยังไม่มีโอกาสเอาจิ้งโจวคืน จนเมื่อโอกาสทองมาถึงทั้งเล่าปี่ ขงเบ้ง เตียวหุย และจูล่งต้องเดินทางไปเสฉวนเพื่อทำการใหญ่ และให้กวนอูรับช่วงเป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋วต่อ จนได้โอกาสเหมาะ ลิบองแม่ทัพใหญ่ของซุนกวนได้ใช้อุบายเข้ายึดจิ้งโจวและจับเป็นกวนอูไปให้ซุนกวนได้สำเร็จ ซุนกวนจึงสั่งประหารกวนอูและได้ส่งศีรษะกวนอูไปให้โจโฉเพื่อป้ายความผิดให้ โดยหวังให้เล่าปี่เข้าใจผิดไปแก้แค้นโจโฉที่สั่งฆ่ากวนอู แต่โจโฉรู้ทันจึงจัดการงานศพให้กวนอูอย่างสมเกียรติ อีกทั้งทูลขอฮ่องเต้ให้ตั้งกวนอูเป็น “อ๋องแห่งเกงจิ๋ว” ทำให้เมืองกวนอูเป็นสัญลักษณ์ของเมืองจิ้งโจวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะถือเป็นเมืองสุดท้ายที่กวนอูเป็นเจ้าเมืองเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่
เรานั่งแท็กซี่จากสถานีรถไฟไปประมาณ 15 นาทีก็ถึงกำแพงเมืองจิ้งโจว แท็กซี่พาเราไปส่งถึงที่ขายตั๋วเลย เมื่องพวกเราลงจากแท็กซี่ก็เหมือนคนขายตั๋วจะรู้ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว เอาตั๋วมาเสนอขายให้เราทันที โดยค่าตั๋วอยู่ที่คนละ 50 หยวน (ประมาณ 250 บาท) โดยตั๋วนี้เราสามารถใช้ชมทุกอย่างได้ตั้งแต่เดินบนกำแพงเมืองหรือเข้าชมหอพิพิธภัณฑ์ หลังจากได้ตั๋วแล้วเราก็เดินชมกำแพงเมืองทันที โดยกำแพงเมืองนั้นเราสามารถเดินไปด้านบนกำแพงได้ตลอดแนวกำแพงเลย ซึ่งระยะทางโดยรวมนั้นไกลพอสมควรและมีมุมสวยให้ถ่ายรูปไม่ว่าจะเป็นมุมกำแพงเมืองหรือเป็นมุมที่มองออกไปเห็นคูเมืองและตัวเมือง ส่วนหอสังเกตการณ์นั้นได้ถูกดัดแปลงเป็นที่จัดแสดงงานศิลปะขนาดย่อมและมีร้านขายของที่ระลึกด้วย
ผมใช้เวลาส่วนมากเดินไปบนกำแพงเพื่อสำรวจดูรอบๆ ไปเรื่อยๆ ส่วนแม่ผมนั้นแกเดินได้สักพักก็ขอไม่ไปต่อ ขออยู่บริเวณรอบๆ หอสังเกตการณ์นั่นแหละ เพราะแกบอกเดินไม่ไหว ส่วนน้องผมก็เหมือนเดิม หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ซึ่งเวลาที่ผมเดินอยู่บนกำแพงเมืองนั้นรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในยุคสามก๊กยังไงยังงั้น เพราะบรรยากาศและสภาพกำแพงเมืองที่ทางเมืองจิ้งโจวอนุรักษ์ไว้นั้น มันคล้ายกับที่เราเคยเห็นในหนังจีนแนวประวัติศาสตร์จริงๆ ยิ่งเป็นคนที่อ่านสามก๊กมามากกว่าสามจบแบบผมแล้ว คิดเอาเองแล้วกันว่าผมจะอินแค่ไหน ส่วนภายในหอสังเกตการณ์เดิมนั้นมีจุดเด่นอยู่ที่รูปปั้นของสามพี่น้องเล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย และขงเบ้งกับจูล่ง เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงว่าจ๊กก๊กซึ่งเป็นก๊กของเล่าปี่นั้นได้ถือกำเนิดจากการได้ครองเมืองจิ้งโจวแห่งนี้และขยายอำนาจออกไปทางตะวันตกและยึดเอาเสฉวนได้ในที่สุด ส่วนร้านขายของที่ระลึกนั้นผมก็ไปได้ป้ายห้อยประตูมา 3 – 4 อัน แต่มีอันนึงที่แม่เลือกให้นั่นคือป้ายที่มีคำว่า “ตั้ง” อันเป็นแซ่เดิมของแม่ผม แกแนะนำให้พกติดตัวไว้ตามความเชื่อของคนจีน
ตัวเข้าชมกำแพงเมืองจิ้งโจวราคาคนละ 50 หยวน (ประมาณ 250 บาท)
วิวบ้านเมืองบริเวณใกล้ๆ กำแพงเมืองที่ยังคงอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
รูปปั้นนักรบบนกำแพงเมือง
ตอนแรกบอกแม่ขึ้นไปขี่ม้าแล้วจะถ่ายรูปให้ ก็เลยโดนด่ากลับมา สุดท้ายเลยถ่ายให้แบบธรรมดาดีกว่า
ทางเดินบนกำแพงเมืองที่มองไปทางหอสังเกตการณ์
หอสังเกตการณ์บนกำแพงเมืองในมุมใกล้ๆ
รูปปั้นเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ขงเบ้ง และจูล่ง
รูปแกะสลักกวนอู
วิวสระน้ำและคูเมืองจากบนหอสังเกตการณ์
เดินมาไกลคนเดียว ไม่มีใครถ่ายรูปให้เลยต้องถ่ายเอง
ง้าวสวยๆ ตั้งอยู่ใกล้ๆ ทางขึ้นกำแพงเมือง
พวกเราใช้เวลาอยู่กับกำแพงเมืองจิ้งโจวประมาณเกือบสองชั่วโมง สักประมาณเที่ยงกว่าๆ เราก็เริ่มหิวและกะว่าจะไปเดินหาอะไรกินแถวๆ นั้น ก็เลยเดินเข้าไปทางถนนเข้าตัวเมืองประมาณ 200 เมตร ก็ไปเจอร้านอาหารจีนร้านหนึ่งที่เปิดเป็นร้านอาหารและโรงแรมขนาดเล็กๆ ดูแล้วสะอาดสะอ้านและน่าจะทำใหม่ๆ ร้อนๆ เลยลองเข้าไปดู พอพนักงานเอาเมนูมาเท่านั้นแหละ ผมรีบส่งไปให้แม่ทันที เพราะมีแต่ภาษาจีนล้วนๆ (สงสัยไม่กะเอาไว้รับแขกต่างชาติเลย) หน้าที่สั่งอาหารจึงเป็นของแม่ผมโดยปริยาย โดยเราสั่งมาทั้งหมด 3 อย่าง ประกอบด้วยเผือกทอดทรงเครื่อง ยำไข่เยี่ยวม้า และหมูสามชั้นผัดต้นกระเทียม โดยแต่ละจานนั้นรสชาติเผ็ดร้อนทั้งนั้น แม้แต่เผือกทอดยังเผ็ดเครื่องเทศเลย โดยมือนี้หมดไปประมาณ 90 หยวน (ประมาณ 450 บาท)
อาหารเที่ยงของเราในวันนี้ (เผือกทอด / ยำไข่เยี่ยวม้า / หมูสามชั้นผัดต้นกระเทียม)
เมื่ออิ่มหนำกันแล้วประมาณสักบ่ายโมงครึ่งพวกเราก็พร้อมจะไปยังจุดหมายต่อไปของเรานั่นคือศาลเจ้ากวนอู ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร โดยเราใช้การโบกรถแท็กซี่ที่หน้าร้านอาหารที่เราเพิ่งไปลิ้มรสความเผ็ดร้อนมา ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ถึงศาลเจ้ากวนอู โดยศาลเจ้านี่ตั้งอยู่ตรงกับประตูเมืองอีกฝั่งหนึ่งพอดีและเปิดให้เข้าชมฟรี
ศาลเจ้ากวนอูนี้เป็นศาลเจ้าเล็กๆ ภายในนั้นแบ่งออกย่อยเป็นสองส่วน คือส่วนศาลด้านหน้าเป็นที่ตั้งของรูปปั้นเทพเจ้ากวนอูองค์ใหญ่ที่อยู่ในท่านั่ง แม่ผมบอกว่าเทพเจ้ากวนอูองค์นี้ดูน่าเกรงขาม มีพลังและสวยงามมาก แกจึงสั่งให้ผมถ่ายรูปเอาไว้ให้สวยๆ เพื่อที่แกจะเอาไปอัดและเอาไปติดบ้าน เพื่อเอาโชคเอาลาภและขอเลขเด็ด (ในบางโอกาศ -*-) ผมถ่ายมาหลายมุมจนให้แกคัดเองเลยว่าจะเอารูปไหน สักพักเราก็เห็นโต๊ะของเจ้าหน้าที่ดูแลศาลเจ้าที่เข้ามาคุยกับแม่ผมและอธิบายวิธีบูชาเทพเจ้ากวนอู (พูดง่ายๆ คือมาขายของนั่นแหละ) คืออาซิ้มแกอธิบายว่าการบูชาเทพเจ้ากวนอูนั้นทำได้โดยใช้ธูปขนาดใหญ่สามดอกจุดบูชาและอธิษฐานขอพร โดยค่าธูปก็แล้วแต่เราจะศรัทธา ผมจึงช่วยทำบุญไป 50 หยวน (ประมาณ 250 บาท) หลังจากที่สักการะเทพเจ้ากวนอูแล้ว เราก็เดินไปด้านหลังของศาลเจ้าซึ่งเป็นส่วนที่สองโดยด้านหลังนี้จะเป็นศาลเจ้าอีกหลังและเป็นที่จัดแสดงรูปปั้นของสามพี่น้องเล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย บริเวณโดยรอบนั้นตกแต่งเป็นสวนหย่อมขนาดเล็กๆ ที่เงียบสงบเหมาะแก่การเดินเล่นพักผ่อน
ด้านหน้าประตูศาลเจ้ากวนอูและรูปจำลองกวนอูที่ด้านหน้าประตู
กวนอูในท่านั่งที่แม่ผมบอกว่าดูสง่างามมาก และบอกให้ผมถ่ายรูปไปให้แกเพื่อเอาไปติดบ้าน
ธูปขนาดใหญ่สามดอกที่ใช้สักการะเทพเจ้ากวนอู
บริเวณสวนหย่อมขนาดย่อมๆ ภายในศาลเจ้ากวนอู
รูปกวนอูด้านหน้าศาลเจ้าด้านหลังที่เป็นที่ตั้งของรูปจำลองสามพี่น้องเล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย
รูปจำลองสามพี่น้องเล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย
(ภายในห้ามถ่ายรูปเลยถ่ายมาได้จากด้านนอกเพียงเท่านี้)
เราใช้เวลาถ่ายรูปและเดินชมศาลเจ้ากวนอูสักประมาณครึ่งชัวโมงก็เดินออกมาเดินเล่นต่อที่ประตูเมืองที่อยู่ตรงหน้าศาลเจ้าพอดี เราจองรถไฟรอบสี่โมงเย็นเพื่อกลับอู่ฮั่นเอาไว้ ดังนั้นจึงมีเวลาเดินเล่นดูเมืองแบบถึงแก่นแท้แบบสบายๆ โดยประตูเมืองฝั่งนี้นั้นเป็นที่ตั้งของร้านค้าและตลาดสด อีกทั้งเป็นทางสัญจรหลักของผู้คนในเมืองด้วย ทำให้เราได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตของชาวจีนภาคกลางแห่งเมืองจิ้งโจวนี้ว่ามีชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร ข้าวของที่นำมาขายตามตลาดมีอะไรบ้าง โดยรวมแล้วค่อนข้างแปลกตาสำหรับพวกเราครับ เราใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเดินจากประดูเมืองจนสุดตลาดก็จะเป็นถนนใหญ่ ตอนนั้นเวลาประมาณบ่ายสามโมงพอดีซึ่งก็ได้เวลาที่เราจะโบกมือลาจิ้งโจวเพื่อไปยังสถานีรถไฟกลับอู่ฮั่นกัน จึงยืนโบกแท็กซี่ที่ตรงนั้นเพื่อไปสถานีรถไฟจิ้งโจว แท็กซี่ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาทีก็พาเราไปถึงสถานีรถไฟ เรายังมีเวลาอีกนิดหน่อยถ่ายรูปและเดินเล่นดูความสวยงามของลานหน้าสถานีรถไฟและบริเวณร้านค้าใกล้ๆ เพื่อดูอะไรที่มันแปลกตาก่อนขึ้นรถไฟ
ซุ้มประตูเมืองตรงบริเวณใกล้ๆ ศาลเจ้ากวนอู
ทางเดินเข้าซุ้มประตูเมืองจากฝั่งด้านนอกเมือง
ผลไม้ที่ขายอยู่ในตลาดสดที่บริเวณซุ้มประตูเมือง
(ผมเดาว่าคงมาจากแหล่งเดียวที่ส่งขายไปที่เมืองไทยแน่นอน)
ลานกว้างหน้าสถานีรถไฟจิ้งโจวและต้นไม้ที่ถูกตัดแต่งเป็นรูปกระต่าย (คิดว่านะ)
ไข่ต้มสมุนไพรจีนที่ขายใกล้ๆ สถานีรถไฟจิ้งโจว มันคือไข่ต้มสุกที่ทุบเปลือกให้ร้าวแล้วเอาไปต้มต่อในน้ำสมุนไพรให้น้ำสมุนไพรซึมเข้าไป (แต่ผมไม่ได้ลองนะ เพราะดูไม่ค่อยอนามัยเท่าไหร่)
เมื่อถึงเวลาเราก็เข้าไปในสถานีรถไฟเพื่อขึ้นรถ โดยรถไฟความเร็วสูงของจีนนั้นตรงต่อเวลามาก เวลาออกจากสถานีต้นทางและเวลาถึงสถานีปลายทางนั้นตรงตามตารางเวลาแบบไม่คลาดเคลื่อนสักนาทีเดียวเลย เราใช้เวลาประมาณหนึงชั่วโมงเศษก็เดินทางถึงสถานีรถไฟฮั่นโข่ว (อู่ฮั่น) ซึ่งเราถึงที่นั่นเวลาประมาณห้าโมงเศษ จากนนั้นเราก็ขึ้นเมโทรกลับทางเดิมที่เรามาเมื่อเช้าไปลงที่สถานี Xunlimen ที่อยู่ใกล้กับโรงแรมของเรา แต่ภาระกิจเรายังไม่หมดแค่นั้น เพราะวันนี้ฟ้าเปิดและกลับมาถึงโรงแรมช่วงพลบค่ำพอดี ซึ่งเป็นช่วงที่ถนนเจียงหันที่เป็นถนนคนเดินในยามค่ำคืน เราจึงไม่พลาดที่จะไปชมบรรยากาศถนนคนเดินที่น่าสนใจแห่งนี้
จากสถานีเมโทร Xunlimen เมื่อเราเดินลงมาด้านล่างและออกทางออกฝั่งถนนเจียงหัน ก็จะเจอถนนคนเดินพอดี เราจึงเดินเข้าไปอย่างไม่รีรอ เพราะตอนนั้นตื่นเต้นอยากเห็นและพวกเราเริ่มหิวอยากหาอะไรกิน (สาเหตุหลักน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า 🙂 ) สินค้าหลักๆ ที่ผู้คนนำมาขายที่ถนนคนเดินเจียงหันนั้นส่วนมากเป็นของกินทั้งขนมและอาหารหลัก เสื้อผ้า และของที่ระลึกต่างๆ แต่ขึ้นชื่อว่าเมืองจีนของกินแบบ Street Food ที่นี่นั้นสีสันและกลิ่นหอมนั้นน่าเย้ายวนมากที่สุดในบรรดาสินค้าทั้งหมดทั้งปวง เราได้ลองไปหลายอย่างที่คิดว่าแปลก (แต่คิดว่ากินแล้วปลอดภัย) อย่างเช่น นมสดทอด ที่คล้ายเต้าหู้นมสดและเอาไปชุบแป้งทอด ซึ่งรสชาติหวานมันอร่อยดี และผมก็ไม่พลาดที่จะลอง “KFC” ที่ถนนเจียงหันแห่งนี้ด้วย (ทุกประเทศที่ผมไปผมมีเป้าหมายทุกครั้งคือต้องลอง KFC ของประเทศนั้นให้ได้ โดยกะจะลองให้มันทั่วโลกไปเลยถ้ามีโอกาส) ซึ่งรสชาติของ KFC ที่นี่บอกตรงๆ ว่าไม่ผ่าน เพราะอารมณ์เหมือนไก่ทอดกลิ่นเครื่องเทศพะโล้จริงๆ
บรรยากาศถนนเจียงหันยามค่ำคืน
ผมมาจากไทยนะ ไม่ใช่จีน ถึงจะตาชั้นเดียวก็เหอะ
นมสดทอดที่ผมพูดถึง รสชาติหวานนิดๆ มันๆ อร่อยดีครับ
ของกินที่ขายตามถนนคนเดินเจียงหัน
รบกวนถามนิดครับถ้าจะไปกำแพงเมืองเกงจิ๋วโดย ขนส่งสาธารณะจะเป็นไปได้ไหมครับจากสถานีรถไฟ ขอบคุณคับ
LikeLike
เท่าที่ทราบมีครับ น่าจะเป็นรถเมล์สาย 24 (ไม่มั่นใจ)
แต่ค่าแท็กซี่ก็ไม่แพงครับ ตอนนั้นผมไปกับแม่เลยสะดวกแท็กซี่มากกว่า
LikeLike
รบกวนหน่อยค่ะ ไม่ทราบว่าหากจะไป “ผาแดง” จากอู่ฮั่น เดินทางไป “ผาแดง” อย่างไรค่ะ + แล้วสามารถเดินทางไป-กลับ ได้ในวันเดียวกันไหมค่ะ / ขอบคุณค่ะ
LikeLike
ไปผาแดงหรือ ซื่อปี๋ ผมไม่มีข้อมูลจริงๆ ครับ
ต้องขอโทษที 😦
LikeLike