ก่อนอื่นขอท้าวความสำหรับทริปนี้ก่อนนะครับ เพราะว่าทริปนี้มีผู้ร่วมทริปไปด้วยทั้งสิ้น 2 คน รวมผมด้วยเป็นสาม ซึ่งสองคนที่ว่านั้นก็ไม่ใช่ใคร เป็นคุณแม่และน้องชายผมเอง แต่ทริปนี้มาจบลงที่อู่ฮั่นและจิ้งโจวแบบที่วางแผนล่วงหน้าไม่นานเลย ซึ่งตอนแรกนั้นผมว่าจะพาแม่ไปเที่ยวฮ่องกงและมาเก๊าเพราะไม่ต้องทำวีซ่าให้ยุ่งยาก เนื่องมาจากแม่ผมอยู่ต่างจังหวัดและผมทำงานอยู่กรุงเทพ การจะดำเนินการเรื่องของวีซ่านั้นมันค่อนข้างยุ่งยาก ตอนนั้นผมจึงเอ่ยปากชวนแม่
ผม : มาม๊า….ไปเที่ยวฮ่องกงกับมาเก๊ามั้ย ประมาณเดือนกันยานี้ ไปเล่นๆ สัก 3 วัน ชวนไอ้แชมป์กับตั่วเฮียไปด้วย (หมายถึงน้องชายผมทั้งสอง ซึ่งผมชอบเรียกแทนน้องคนเล็กกับแม่ว่า “ตั่วเฮีย” ที่แปลว่าพี่คนโต เหมือนเรียกประชดขำๆ)
แม่ : มันมีอะไรน่าเที่ยวฮ่องกงกับมาเก๊า ?
ผม : ก็ประมาณเหมือนเมืองจีนอ่ะนะ มีวัด มีที่ช็อปปิ้ง มีที่เดินเล่นสวยๆ หรือจะเข้าบ่อนที่มาเก๊า ก็ได้
แม่ : (เงียบไปสักพักแล้วก็ถามกลับผม) อืม……แล้วมึงเคยไปเมืองจีนมั้ย ?
ผม : (ตอนนั้นรู้เลยว่าแม่อยากไปไหน) ยังไม่เคย แต่เห็นพี่คนที่ไปมาบอกว่าไม่ค่อยเวิร์ก อากาศไม่ดี และคนก็รุงรัง
แม่ : อืม….
ตอนนั้นเหมือนแม่จะผิดหวังนะ แต่ในเมื่อรู้แล้วว่าแกอยากไปไหนผมก็ต้องพาแกไปให้ได้ เพราะตั้งใจแต่แรกแล้ว เลยศึกษาสองเรื่องใหญ่ๆ คือว่าจะเที่ยวเมืองไหนและจะขอวีซ่ายังไง (และข้อดีที่สุดที่ไปเมืองจีนโดยมีแม่ไปด้วยคือ ผมไม่ต้องมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร เพราะแกพูดจีนได้ แค่ระวังไม่ให้แกเม้าท์จนเพลินกับคนที่นั่นก็พอ 🙂 )
เรื่องขอวีซ่าพอนั่งคิดแล้วไม่ยาก ผมก็อาศัยยอมเสียเวลาเสาร์อาทิตย์ขับรถกลับบ้านต่างจังหวัด เพื่อไปเอาพาสปอร์ตตัวจริงของแม่พร้อมทั้งเอกสารต่างๆ และพาแม่ไปถ่ายรูปให้เรียบร้อย เพื่อเอารูปไปทำวีซ่าจีน (เพราะวีซ่าจีนยื่นแทนกันได้ในตอนนั้น ไม่ต้องมอบอำนาจด้วย)
ส่วนเรื่องว่าจะเที่ยวที่ไหนผมนั่งเช็คดูแล้วคงไม่เอาปักกิ่งกับเซี่ยงไฮ้ เพราะสงสารแม่ที่อายุมากและขาไม่ดี เลยขอเลือกเป็นเมืองอื่น ทยอยไล่เช็คไปจนมาเจอเมืองที่เป็นตำนานประวัติศาสตร์สามก๊กอย่าง “อู่ฮั่น (Wuhan)” เข้า ซึ่งประจวบเหมาะกับที่ผมเป็นคนที่บ้าอ่านสามก๊กอยู่แล้ว (ทั้งอ่านหนังสือ ทั้งดูภาพยนตร์ หนังสือเกี่ยวกับสามก๊กเยอะมาก) ประกอบกับช่วงนั้นแอร์เอเชียหรือพี่หางแดงมีโปรไปอู่ฮั่นพอดี จึงตัดสินใจไปในทันที โดยวางไว้ว่าจะไป 3 วัน 2 คืน
หลังจองตั๋วและจองโรงแรมเสร็จสรรพและยื่นวีซ่าแล้ว ระหว่างรอผลวีซ่า แชมป์น้องคนกลางของผมก็ถามว่า “จะไปเมืองจีนกับมาม๊าเหรอ ไปที่ไหน วันไหน จะไปด้วย” ผมก็บอกไปว่าไปวันไหน บินไฟลท์อะไร และก็เปลี่ยน Booking โรงแรมเพื่อเป็นห้องสำหรับสามคนทันที ส่วนน้องคนเล็กถามแล้วบอกว่าไม่ไป จึงสรุปว่าทริปนี้มีเราทั้งหมดสามคนครับ
เมื่อถึงวันเดินทาง พวกเราออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเพื่อไปให้ถึงดอนเมืองประมาณตีห้า เพราะเราจองไฟลท์เช้า 7.15 น. เมื่อไปถึงก็เป็นอย่างที่คาด ไฟลท์ไปจีนแถวยาวยืด แม้วันนั้นเป็นวันธรรมดาอย่างวันพฤหัสบดีก็ตาม โชคดีที่พวกผมทำ Internet check-in มาเรียบร้อย จึงแค่ไป Drop กระเป๋าที่ช่อง Baggage drop ซึ่งแถวสั้นกว่ามาก จากนั้นก็ผ่าน Security และ Immigration ตามระเบียบ พวกเราไปถึงที่ Gate ประมาณ 6.30 น. ก่อนเครื่องออก 45 นาที แต่แค่ขนาดนั่งรอที่ Gate ก็เหมือนกับว่าพวกเราไปถึงเมืองจีนกันแล้ว เพราะคนรอบข้างเรานั้นกว่า 90% เป็นชาวจีน จึงเดาไม่ยากเลยว่าเสียงพูดคุยจะโช้งเช้งแค่ไหน ถือว่าเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนไปเยือนบ้านเขาก็แล้วกัน 😉
พร้อมแล้วกับการไปเยือนเมืองจีนเป็นครั้งแรกของผม แม่ และน้องชาย
ระหว่างนั่งรอท่านแม่นิ่งมาก ในใจคงรำคาญเสียงโช้งเช้งรอบข้างน่าดู
(โชคดีหน่อยที่ผมฟังจีนไม่ออก ส่วนแกฟังออกคงต้องรับชะตากรรมไปว่าเค้าพูดอะไรกันบ้าง)
จากกรุงเทพไปอู่ฮั่นใช้เวลาบินประมาณสามชั่วโมงครึ่งบวกกับเวลาที่จีนเร็วกว่าเราหนึ่งชั่วโมงทำให้เราไปถึงที่นั่นประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง แต่โชคดีที่สนามบินอู่ฮั่นนั้นใช้เทอมินัลเล็กเป็น International hall ส่วน Domestic Hall นั้นใช้เทอมินัลใหญ่ ทำให้แถว Immigration นั้นไม่ยาวและคนไม่เยอะ (ซึ่งอาจเนื่องมาจากว่าผู้โดยสารภายในประเทศมีมากกว่า จึ่งใช้เทอมินัลใหญ่สำหรับเที่ยวบินในประเทศ) เราใช้เวลาไม่นานก็ออกมาข้างนอกเพื่อหาแท็กซี่เข้าเมือง (สนามบินอยู่ห่างจากใจกลางเมืองประมาณ 30 กม.) ก่อนมาก็ศึกษาแล้วว่าแท็กซี่มิเตอร์นั้นมีให้บริการที่สนามบินเพื่อเข้าเมือง แต่พอเดินออกมากลับไม่เจอเลย มีแต่คันที่ให้เหมาทั้งนั้น ซึ่งราคาจากสนามบินไปโรงแรมของเรานั้นทุกคันเรียกเท่ากันหมดที่ 200 หยวน หรือประมาณ 1,000 บาท (เราจองโรงแรมไว้ที่ Dorrset Hotel, Jianghan street ซึ่งราคา 1,000 บาท ถือว่าแพงมากสำหรับระยะทางแค่ 30 กม. แต่ก็จำใจไปเพราะว่าหาแท็กซี่ไม่ได้แล้วและฝนก็ตั้งท่าว่ากำลังจะตก)