เที่ยวรัสเซียวันที่ 3 : เจาะลึกมอสโคว

          วันนี้ผมตื่นขึ้นมาในเวลาประมาณเจ็ดโมงครึ่ง จากนั้นก็อาบน้ำอาบท่าแต่งตัว และเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อยพร้อมที่จะเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแห่งนี้ เพราะว่าคืนนี้ผมได้ที่นอนใหม่แล้ว ซึ่งงนั่นก็คือ “บนรถไฟ” เนื่องจากว่าวันนี้ผมวางแผนไว้ว่าจะนั่งรถไฟนอนไปยังเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเพื่อเที่่ยวต่อในวันถัดไป สาเหตุที่ผมเลือกรถไฟนอน (หรือรถไฟกลางคืน) ก็เพราะว่าผมต้องการประหยัดค่าโรงแรมนั่นเอง อีกทั้งผมสามารถนอนบนรถไฟและตื่นเช้าไปเที่ยวต่อได้ทันที ซึ่งหลายคนอาจจะแย้งว่าค่าเครื่องบินจากมอสโควไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถูกกว่าค่ารถไฟนอนทำไมไม่ใช้เครื่องบินแทน (ค่ารถไฟขาละประมาณ 1500 – 1600 บาท แต่ค่าเครื่องถ้าเลือกโดนจังหวะโปรโมชันอาจจะได้ราคาที่ขาละ 1200 – 1400 บาทเท่านั้น) อีกทั้งยังรวดเร็วทันใจกว่าด้วย แต่ถ้าหากผมเลือกเครื่องบินผมจะมีค่าใช้จ่ายตามมาต่อขาซึ่งได้แก่ ค่ารถไฟ Aeroexpress ไปสนามบินมอสโควประมาณ 220 บาท ค่าโรงแรมที่เพิ่มอีก 1 คืนประมาณ 500 บาท และค่ารถเข้าเมืองจากสนามบินเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอีกประมาณ 150 บาท รวมไปรวมมาแพงกว่ากันเยอะครับ ขาเที่ยวแบบแบ็คแพ็คขอบาย และการนั่งรถไฟรัสเซียนั้้นถือว่าเป็น “Recommended !” เลยก็ว่าได้ เพราะมันมีเสน่ห์จริงๆ

         หลังจากที่ผมทำธุระส่วนตัว เช็คเอาท์และเซย์กู๊ดบายกับรีเซพชั่นคนสวยแล้ว ผมก็มีเวลาหนึ่งวันเต็มๆ จนถึงเวลารถไฟออกสี่ทุ่มครึ่งในการสะพายกระเป๋าออกตระเวณเจาะลึกสถานที่เที่ยวต่างๆ ในมอสโควตามที่แพลนเอาไว้ แต่ถ้าใครมีกระเป๋าใหญ่และไม่สะดวกในการลากกระเป๋าไปเที่ยวด้วย ก็สามารถฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อนได้แล้วค่อยมารับคืนตอนเย็น หรือหากโรงแรมไม่รับฝากแนะนำให้นำไปฝากไว้ที่ชั้นใต้ดินของสถานีรถไฟเลนินกราดสกี้ (Leningradsky : Ленинградский) โดยสถานีรถไฟนี้เป็นสถานีสำหรับรถไฟระยะไกลข้ามเมืองที่เราจะนั่งไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในคืนนี้ ตัวสถานีอยู่ติดกับสถานีรถไฟยาโรลาฟสกี้ที่เรานั่งไปเซอกิเยฟโพสาดเมื่อวาน การเดินทางไปก็เช่นเดิมลงสถานีเมโทรสถานี Komsomolskaya เมื่อไปถึงให้เดินลงไปที่ชั้นใต้ดินตามป้ายที่เขียนว่า “Cloak Room” จะเจอห้องที่มีตู้ล็อกเกอร์เยอะๆ อยู่ ขนาดตู้สามารถใส่กระเป๋าลากใบใหญ่ได้สบาย ให้ไปติดต่อพนักงานขอเช่าตู้ อัตราค่าฝากอยู่ที่ 300 รูเบิล (ประมาณ 180 บาท) ต่อ 24 ชั่วโมง เมื่อจ่ายเงินแล้วจะได้คีย์การ์ดพร้อมเบอร์ตู้มา ให้เราเดินไปที่ตู้นั้นแล้วนำกระเป๋าใส่เข้าไปแล้วปิดประตู จากนั้นก็นำคีย์การ์ดไปทาบตรงบริเวณกลอน ประตูจะล็อกอัตโนมัติ เมื่อจะเปิดก็ใช้คีย์การ์ดไปทาบเหมือนเดิม แต่เช็คให้ดีก่อนล็อคเพราะล็อคและปลดล็อคได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากจะล็อคอีกครั้งต้องจ่ายเงินขอซื้อบริการใหม่ทั้งหมด และต้องเก็บคีย์การ์ดนี้ติดตัวไว้ให้ดีด้วย

         วันนี้ผมเริ่มด้วยการออกล่าสถานที่สำคัญต่างบริเวณจตุรัสแดงก่อนเลย โดยนั่งเมโทรมาลงสถานี Okhotny Ryad (Охотный ряд) สายที่ 1 (สีแดง) เมื่อเดินออกสถานีมาจะเจอทางเข้าจตุรัสแดงเลย จัตุรัสแดงถือได้ว่าเป็นใจกลางของกรุงมอสโคว (หลักกิโลเมตรที่ศูนย์ก็ตั้งอยู่ที่จัตุรัสแดง) คำว่า “แดง” นั้นไม่ได้หมายถึงสีแดงของคอมมิวนิสต์ แต่หมายถึงสวยงามตามภาษารัสเซียสมัยก่อน (красный) ที่พ้องกับคำว่าสีแดง จัตุรัสแดงจึงหมายถึงจัตุรัสแห่งความสวยงาม บริเวณจัตุรัสแดงนี้ได้ผ่านเรื่องราวและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์มาแล้วมากมายตั้งแต่สมัยรัสเซียมีกษัตริย์เป็นประมุข สมัยสหภาพโซเวียตยังรุ่งเรือง จนมาถึงยุคของสหพันธรัฐรัสเซียในทุกวันนี้ จัตุรัสแดงได้ถูกใช้ไปสถานที่ประกอบกิจกรรมต่างๆ ทั้งทางศาสนา การเมือง และการทหาร ปัจจุบันจัตุรัสแดงถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของรัสเซีย มีนักท่องเที่ยวมาเยือนทุกวันไม่ขาดสาย เพราะเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของรัสเซีย เช่น สุสานวลาดิเมียร์เลนิน วิหารเซนต์เบซิล พระราชวังเครมลิน ห้างสรรพสินค้ากุม เป็นต้น จึงถือได้ว่าจัตุรัสแดงเป็นสถานที่ที่ It is a must !ที่ทุกคนทีมาถึงรัสเซียต้องมาเยือน อีกทั้งจัตุรัสแดงได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1990 อีกด้วย

แผนที่สถานที่ต่างๆ ในบริเวณจัตุรัสแดง

แผนที่สถานที่ต่างๆ ในบริเวณจัตุรัสแดง

         สถานที่แรกที่ผมจะไปเยือนเลยก็คือ สุสานวลาดิเมียร์เลนิน (Lenin mausoleum) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณกลางจัตุรัสแดง สังเกตได้จากตัวสุสานมีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมตกแต่งด้วยแกรนิตสีแดง ภายในเป็นที่ตั้งแสดงโลงแก้วที่บรรจุศพของวลาดิเมียร์ เลนิน อดีตประธานาธิบดีนักปฏิวัติของรัสเซียที่ผู้คนทั้งชาติให้ความเคารพ ตลอดเวลาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีชาวรัสเซียมาเข้าคิวเพื่อเคารพศพของเลนินทุกวันที่ทางการเปิดให้เข้าชม และรอบนอกของสุสานเลนินนั้นยังมีหลุมฝังศพของบุคคลสำคัญและวีรชนของรัสเซียตั้งอยู่ตลอดแนวทางเดินอีกด้วย

      สุสานวลาดิเมียร์เลนินเปิดให้เข้าเยี่ยมชมได้ฟรี แต่ค่อนข้างจำกัดวันและเวลาในการเข้าชม คือเปิดให้ชมแค่ช่วงเวลา 10.00 น. ถึง 13.00 น. เท่านั้น และไม่เปิดให้เช้าชมในวันจันทร์และวันศุกร์ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ผมเลือกที่จะเข้ามาชมที่นี่ก่อนสถานที่อื่นๆ ในย่านนี้ ซึ่งหากใครไม่อยากพลาดการเข้าชมหรือไม่อยากเสียเวลาเข้าคิวนานๆ แนะนำให้ไปเข้าคิวรอตั้งแต่เช้าไม่เกิน 9.30 น. หรือเช้ากว่านั้นในช่วงเดือนมีนาคมถึงกันยายน เพราะเป็นฤดูท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวจะค่อนข้างเยอะ รวมถึงวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดเทศกาลก็มีนักท่องเที่ยวรอเข้าชมสุสานวลาดิเมียร์เลนินจำนวนมากเช่นกัน การเยี่ยมชมนั้นทางเจ้าหน้าที่จะปล่อยให้นักท่องเที่ยวเข้าไปทีละกลุ่มไม่เกินกลุ่มละ 15 – 20 คน และค่อนข้างจำกัดเวลาไม่ให้เกิน 15 – 20 นาทีต่อกลุ่ม ภายในสุสานเลนินนั้นค่อนข้างเข้มงวดมาก ห้ามถ่ายรูปและห้ามเสียงดังหรือเสียมารยาทโดยเด็ดขาด ดังนั้นผู้ไปเยือนก็ควรให้เกียรติสถานที่เพื่อไม่ให้เสียชื่อนักท่องเที่ยวชาวไทยนะครับ (เรื่องอื่นๆ ผมอาจจะพูดเล่นบ้าง กวนบ้าง แต่เรื่องนี้ผมขอพูดอย่างจริงจังเลย ในฐานะนักเดินทางชาวไทยคนหนึ่ง)

         ภายในสุสานนั้นไม่มีอะไรมาก มีเพียงโลกแก้วที่บรรจุร่างของวลาดิเมียร์เลนินไว้เท่านั้น และเนื่องจากห้ามถ่ายรูปโดยเด็ดขาด จึงไม่มีรูปด้านในมาให้ดู (มีทหารยืนเฝ้าอยู่อย่างเข้มงวดตลอดเวลา ซึ่งแสดงว่าเค้าให้ความสำคัญกับสถานที่นี้มากจริงๆ) ผมใช้เวลาอยู่ภายในสุสานประมาณ 15 นาทีก็เดินออกมาด้านนอก ซึ่งบริเวณรอบรั้วของพระราชวังเครมลินที่อยู่ติดกับสุสานนั้นมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะมาก อีกทั้้งยังสามารถมองดูวิหารเซนต์เบซิล (วิหารรูปทรงหัวหอม) และห้างสรรพสินค้ากุมจากมุมนี้ได้อย่างสวยงาม สามารถใช้เวลาในบริเวณนี้ได้เต็มที่

3

สุสานวลาดิเมียร์เลนิน

1

ทางเดินริมรั้วเครมลิน บริเวณสุสานวลาดิเมียร์เลนิน

4

ขอสักรูปกับวิหารเซนต์เบซิล

         หลังจากที่ผมเต็มอิ่มจากบริเวณสุสานวลาดิเมียร์เลนินแล้ว ผมก็ขอข้ามการไปเยือนวิหารเซนต์เบซิลและห้างสรรพสินค้ากุมเอาไว้ก่อน ทำไมเหรอครับ ก็เพราะว่ามันยังกลางวันอยู่ ผมขอรอเวลาหลังห้าโมงเย็นที่ฟ้ามืดแล้วค่อยกลับมาอีกที เพราะวิวบริเวณนี้ในตอนกลางคืนนั้นสวยงามแบบดินแดนเทพนิยายในฝันแบบหาที่เปรียบไม่ได้จริงๆ ผมจึงใช้เวลาในช่วงกลางวันไปไล่ตามเก็บภายในพระราชวังเครมลินให้หมดก่อนแบบไม่รอช้า

         การไปพระราชวังเครมลินนั้นทำได้โดยเดินย้อนกลับมาที่สถานีเมโทรที่เราเข้ามา แล้วเดินเรียบกำแพงพระราชวังไปประมาณ 400 เมตร จะพบออฟฟิศที่เป็นกระจกทั้งหลังซึ่งเป็นที่จำหน่ายตั๋วเข้าชมพระราชวังเครมลิน ระหว่างทางเดินมาจะพบห้าง Okhotny Ryad (ชื่อเดียวกับสถานีเมโทรและอยู่ตรงข้ามสถานี) ห้างนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ไม่ได้สร้างสูงขึ้นไปในอากาศ แต่สร้างลึกลงไปใต้ดิน มีทั้งหมด 4 ชั้น (ชั้น G, -1, -2 และ -3) ดังนั้นเมื่อมองจากด้านนอกจึงมองเห็นเป็นแค่อาคารเตี้ยๆ เท่านั้น ที่ชั้น -3 มีร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดส์อยู่หลายร้าน เหมาะแก่การไปใช้บริการระหว่างเยี่ยมชมบริเวณจัตุรัสแดงสำหรับชาวแบ็คแพ็คเกอร์อย่างมาก

         แต่ !!!!! ระหว่างทางเดินไปนั้นก็เห็นคนยืนมุงดูอะไรสักอย่างอยู่ ทำให้ต่อมอยากรู้ทำงานขึ้นมาทันที จึงเดินไปมุงกับเขาด้วย ก็ได้รู้ว่าทหารยามบริเวณหน้าพระราชวังเครมลินนั้นกำลังเปลี่ยนกะกันพอดี ซึ่งการเปลี่ยนกะนั้นไม่ได้แค่เดินแตะมือกันเฉยๆ นะครับ เพราะเขามีพิธีและกระบวนการที่มีที่เดียวในโลกแน่นอน ทำให้รู้สึกโชคดีสุดๆ ที่ได้มาเจอจังหวะที่สุดแสนวิเศษนี้ ว่าแล้วก็รีบหยิบเอาโทรศัพท์มาถ่ายวิดีโอโดยทันใด ภาพที่เห็นนั้นไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้จริงๆ เอาเป็นว่าคลิกดูวิดีโอนี้ดูกันเลยดีกว่า

พิธีการเปลี่ยนกะของทหารยามหน้าเครมลิน

         หลังจากที่ซึมซับความโชคดีที่ได้เห็นพิธีการเปลี่ยนกะของทหารยามหน้าเครมลินแล้ว ก็ตรงดิ่งเป็นเพื่อไปซื้อตั๋วเข้าเครมลินทันที เพื่อไม่ให้เสียเวลา โดยพระราชวังเครมลินเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ภายในทุกวัน (ยกเว้นวันพฤหัสบดี) ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 18.00 น. ค่าบัตรเข้าชมคนละ 500 รูเบิล (ประมาณ 300 บาท) พระราชวังเครมลินถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 1837 ถึง 1849 โดยรับสั่งของพระเจ้านิโคลัสที่ 1 (Nicolas I) ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลีชื่อคอนสแตนติน ธอน (Konstantin thon) สร้างอยู่บนเนินเขาริมฝั่งแม่น้ำมัสควา (Moskva river) แต่เดิมถูกใช้เป็นที่ประทับของซาร์แห่งมอสโคว (Tsar of Moscow) หรือจักรพววรดิของอาณาจักรรัสเซีย ตัวพระราชวังมีกำแพงสูง 65 เมตร และมีความยาวรวมมากถึง 3 กิโลเมตร ภายในประกอบด้วยสิ่งปลูกอย่างต่างๆ มากมาย เช่น ปราสาท วิหาร โบสถ์ พิพิธภัณฑ์ โดม หอคอย ป้อมปราการ คลังแสงเก็บอาวุธ เป็นต้น ปัจจุบันพระราชวังเครมลินได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้เข้ามาชมความยิ่งใหญ่และความอลังการของจักรวรรดิรัสเซียในอดีต โดยที่พระราชวังเครมลินนั้นเคยได้รับการเสนอชื่อเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอีกด้วย

IMG_1667

ตั๋วเข้าชมเครมลิน ค่าสินสอดเข้าชมอยู่ที่ 500 รูเบิล

          เมื่อได้ตั๋วแล้วก็เดินไปตามทางเพื่อเข้าไปในบริเวณพระราชวัง ซึ่งเมื่อผมเดินผ่านประตูรั้วเข้าไปแล้วนั้นก็ต้องตาค้างอีกครั้ง เพราะมันอลังการสุดยอดจริงๆ แต่ละที่นั้นสวยงามไม่แพ้กันเลย เลยไม่สามารถบอกได้ว่าควรจะไปที่ใดก่อน เล่นเอาตั้งสติอยู่สักพักนึง เพื่อจะเลือกว่าจะไปดูและถ่ายรูปอะไรก่อนดี เมื่อเรียกสติมาได้ก็เลือกที่จะเข้าไปวิหารแอนนันซิเอชัน (Annunciation cathedral) ก่อนซึ่งภายในเป็นที่เก็บวัตถุโบราณตั้งแต่สมัยรัสเซียยังมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งวัตถุโบราณส่วนมากก็เป็นอุปกรณ์ข้าวของที่ใช้ในวัง งานศิลปะ อาวุธ ชุดเกราะ เป็นต้น แต่ละชิ้นนั้นเลอค่าจนประมาณราคาไม่ได้เลย เมื่อออกมาจากวิหารแอนนันซิเอชัน ผมก็เข้าไปต่อในวิหารอัสสัมชัญ (Assumption cathedral) ในทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา โดยภายในนั้นก็มีการเก็บวัตถุโบราณที่บอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของรัสเซียคล้ายๆ กับวิหารแอนนันซิเอชัน ซึ่งยอมรับตรงๆ ว่าผมก็ดูไม่ออกหรอกครับว่ามันต่างกันยังไง หรือวัตถุโบราณชิ้นนั้นอยู่ในยุคไหน ก็อาศัยดูป้ายกำกับตามวัตถุโบราณชิ้นนั้นๆ ไป (ป้ายกำกับมีภาษาอังฤษให้อ่านด้วยครับ)

5

ทางเดินบริเวณทางเข้าเครมลิน

6

บรรยากาศหิมะบางๆ กับต้นไม้ไร้ใบ ที่มีฉากหลังเป็นวิหารโดมทองคำภายในบริเวณเครมลิน

7

วิหารแอนนันซิเอชัน

IMG_1687

ตำราโบราณที่จัดแสดงไว้ในวิหารแอนนันซิเอชัน

IMG_1691

IMG_1693

วัตถุโบราณที่ถูกจัดแสดงไว้ภายในวิหารที่ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์

8

วิหารโดมทองสวยๅ ภายในเครมลินอีกสักรูป

10

บรรยากาศหิมะตกภายในเครมลิน ที่ดูมีเสน่หแบบชวนให้เวลาหยุดนิ่ง

          จากนั้นผมก็ออกมาเดินชมความงามโดยรอบพระราชวังเครมลินบ้างโดยเดินอ้อมไปทางด้านหลังของบริเวณรั้ว และเนื่องด้วยตัวพระราชวังเครมลินนั้นตั้งอยู่บนเนินทำให้ด้านหลังนั้นสามารถมองภาพแม่น้ำมัสควาที่ไหลผ่านกลางกรุงมอสโควได้อย่างสวยงามที่สุดมุมหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่ไฮไลต์สำคัญของเครมลินไม่ใช่วิวแห่งนี้นะครับ ถึงแม้ว่ามันจะสวยงามสุดๆ เลยก็เหอะ เพราะจุดสำคัญของเครมลินที่ทุกคนต้องไปชมและไปเยือนให้ได้คือปืนใหญ่และระฆังพระเจ้าซาร์ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของเครมลิน โดยปืนใหญ่และระฆังที่ว่านั้นให้ความรู้สึกถึงความเข้มแข็งและความเป็นมหาอำนาจของรัสเซียได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ผมกำลังถ่ายรูปปืนใหญ่และระฆังพระเจ้าซาร์อยู่นั้นความรู้สึกมันเหมือนกับว่าพลังและจิตวิญญาณแห่งความเป็นนักสู้มันอัดแน่นเต็มเปี่ยมจริงๆ ของอย่างนี้ต้องลองไปสัมผัสสักครั้งครับ แล้วจะเชื่อว่ามันยิ่งใหญ่จริงๆ

9

ถนนบริเวณเนินที่ผมไปชมวิวแม่น้ำมัสควาที่ไหลผ่านกลางกรุงมอสโคว ภายในบริเวณพระราชวังเครมลิน

11

วิวแม่น้ำมัสควาที่ไหลผ่านกลางกรุงมอสโคว

12

คนรัสเซียใจดีจริงๆ ถ่ายรูปให้เราอีกแล้ว (จริงๆ ก็ขอให้เขาถ่ายให้นั่นแหละ 🙂 )

14

ระฆังพระเจ้าซาร์

15

ปืนใหญ่พระเจ้าซาร์

          ผมใช้เวลาอยู่ในบริเวณรอบๆ เครมลินร่วม 2 ชั่วโมงจนลืมหิวไปเลย มารู้ตัวอีกทีเวลาเกือบบ่ายสองโมงตอนกำลังเดินออกมาแล้วมาเจอห้าง Okhotny Ryad ที่เดินผ่านมาก่อนเข้าเครมลิน ว่าแล้วก็เกิดปิ๊งจุดยืนอย่างหนึ่งของผมมาได้ ซึ่งนั่นคือ “ผมจะลองกิน KFC ให้ครบทุกประเทศที่ผมไปเยือน” ซึ่งผมกินมาหลายประเทศก็ได้อรรถรสแตกต่างกันไป แต่มาอยู่รัสเซียวันนี้วันที่สามแล้วยังไม่ได้ลองเลย จึงต้อง “จัด” ซักหน่อยเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย (เกี่ยวอะไรว่ะ) ว่าแล้วก็เดินเข้าไปแล้วค้นอากู๋อย่างเคยก็พบว่า KFC อยู่ชั้น -3 ซึ่งเป็นชั้นใต้ดินสุด แล้วก็จัดการสั่งมากระแทกปากให้หายอยาก ซึ่งโดยรวมแล้วรสชาติก็คล้ายๆ กับ KFC บ้านเรา แต่จะไม่เผ็ดเครื่องเทศเท่าและเค็มกว่าบ้านเราหน่อย แต่ก็ถือว่าใช้ได้ตามมาตรฐานอาหารฟาสฟู้ดส์ทั่วไป มื้อนี้หมดไป 250 รูเบิล (ประมาณ 135 บาท)

KFC

KFC รัสเซีย สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะลองกิน KFC ในทุกประเทศที่ไปเยือน

(ถ้ามีโอกาสจะทำรีวิว KFC แต่ละประเทศแน่นอน)

         เมื่ออิ่มแล้วผมก็ขอพักจตุรัสแดงไว้สักครู่เพื่อกลับมาดูอีกครั้งตอนพลบค่ำ ซึ่งระหว่างนี้ผมก็วางโปรแกรมล่วงหน้าแล้วว่าจะไปพระราชวังฤดูร้อนและสวนซาริซาน่า (Tsarisyno) ซึ่งแต่เดิมเป็นที่ดินในราชสมบัติของพระนางซาริทซา อิริน่า (Tsaritsa Irina) พระขนิษฐาของพระเจ้าซาร์ บอริส โกดูนอฟ (Tsar Boris Godunov) ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 16 ต่อมาในปี ค.ศ. 1775 พระนางแคเทอรีนได้ซื้อที่ดินแห่งนี้ด้วยความที่พระนางทรงถูกพระทัยในความน่าหลงใหลของที่ดินบริเวณนี้ ซึ่งกว้างขวางและมีทัศนียภาพสวยงาม จากนั้นในปี ค.ศ. 1776 พระนางแคเทอรีนได้มอบหมายให้สถาปนิกชื่อวาซิลี บาเชนอฟ (Vasili Bazhenov) สร้างพระราชวังขึ้นมาในที่ดินแห่งนี้เพื่อใช้เป็นที่ประทับในฤดูร้อน บาเชนอฟใช้เวลาสร้าง 9 ปี จนถึง ค.ศ. 1785 พระราชวังเกือบจะแล้วเสร็จ พระนางแคเทอรีนกลับไล่เขาออกเสียอย่างนั้น ด้วยเหตุผลที่พระองค์ทรงเห็นว่าห้องแคบและมืดเกินไป ทำให้พระราชวังไม่น่าอยู่ และก็ทรงให้สถาปนิกคนใหม่แมตเวย์ คาซาคอฟ (Matvey Kazakov) เข้าสานงานต่อทันที โดยรื้องานของเก่าออกทำใหม่ทั้งหมด คาซาคอฟใช้เวลาก่อสร้าง 10 ปี จนถึงปี ค.ศ. 1795 งานก็ต้องหยุดลงพร้อมการสิ้นพระชนม์ของพระนางแคเทอรีน จากนั้นก็ถูกทิ้งร้างมากว่า 200 ปี จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2005 ถึง 2007 ทางการรัสเซียได้เข้ามาปฏิรูปและบูรณะที่ดินและพระราชวังใหม่จนแล้วเสร็จ และปัจจุบันเปิดให้เป็นสวนธารณะและพิพิธภัณฑ์สำหรับให้นักท่องเที่ยวและชาวเมืองได้เข้าไปพักผ่อนและเยี่ยมชม

          ผมเดินทางไปพระราชวังซาริซาน่าด้วยเมโทรโดยซึ่งจากหน้าจัตุรัสแดงสถานี Okhotny Ryad แต่เลือกนั่งสายที่ 2 (สีเขียว) ไป 8 สถานีเพื่อลงที่สถานี Tsaritsino (Царицыно) จากนั้นผมก็เดินออกจากหัวขบวนรถและเดินลอดใต้อุโมงค์ทางรถไฟไปจะเจอกำแพงและทางเข้าสวนซาริซาน่าตั้งอยู่ตรงหน้าเลย เมื่อเดินเข้าไปในบริเวณรั้วแล้วจะพบกับความกว้างใหญ่ไพศาลของสวนที่มีทั้งสนามหน้า สระน้ำ สะพานและทางเดินที่พร้อมจะทำให้ผมถึงกับอึ้งและตะลึงได้ในทันที และเนื่องด้วยวันนั้นมีหิมะตกเบาๆ พื้นสนามหญ้าและทางเดินมีสีขาวปกคลุมบางๆ ทำให้สามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศความโรแมนติกได้อย่างสุดๆ เลยทีเดียว ยิ่งถ้านาทีนั้นได้ฟังเพลงรักช้าๆ ซึ้งๆ อย่าง Homeless Heart ของ Bryan Rice หรือ I khew I love you ของ Savage Garden แล้วละก็ มันยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกอย่างมีใครสักคนมาจูงมือเดินเคียงข้างกันเสียจริงๆ (ดราม่าอีกล่ะ มาเที่ยวคนเดียวก็เงี้ย T_T)

20

ป้ายแสดงแผนที่ภายในสวนและพระราชวังซาริซาน่า

21

ทางเดินพร้อมม้านั่งในบรรยากาศเหงาๆ ของสวนและพระราชวังซาริซาน่า

22

ทางเดินบริเวณประตูทางเข้าสวนและพระราชวังซาริซาน่า

23

ภาพมุมกว้างของสวนซาริซาน่า

25

เซลฟี่อีกแล้ว (ถ้ามีคนไปด้วยก็คงจะดี ….. จะได้ใช้ถ่ายรูปให้ 🙂 )

          มาต่อเรื่องเที่ยวกันดีกว่าก่อนที่จะเพ้อเจ้อไปเรื่อย บริเวณพระราชวังฤดูร้อนและสวนซาริซาน่านั้นผมขอแบ่งตามความเข้าใจของผมจากที่ไปเยือนมาเป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือบริเวณสวนซึ่งเป็นเปิดเป็นสวนสาธารณะให้ผู้คนได้เข้าไปใช้เดินเล่น ถ่ายรูป หรือทำกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจกับครอบครัวได้โดยส่วนนี้เข้าฟรี อีกส่วนเป็นพระราชวังเดิมซึ่งถูกตัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และงานศิลปะของพระนางแคทเทอรีนที่เน้นการออกแบบด้วยสีทองหรูหราและสวยงามจนไม่สามารถประเมินราคาได้ ในส่วนของพระราชวังนั้นต้องเสียตั๋วค่าเข้าชมคนละ 350 รูเบิล (ประมาณ 210 บาท) โดยเปิดทุกวันเวลา 11.00 น. – 18.00 น. (ยกเว้นวันจันทร์) และวันเสาร์อาทิตย์เปิดให้ชมถึง 20.00 น.

26

ทางเดินริมบ่อน้ำภายในสวนและพระราชวังซาริซาน่า

27

ซุ้มประตูสวยๆ ภายในสวนและพระราชวังซาริซาน่า

35

ขนาดเสาไฟยังมีมุมสวยๆ ของมันให้ถ่าย ว่าแล้วก็มาให้ข้าถ่ายรูปซะดีๆ

         เนื่องจากผมมาถึงบริเวณพระราชวังและสวนซาริซาน่าประมาณบ่ายสามโมงนั่นหมายความว่าอีกแค่ประมาณชั่วโมงครึ่งตะวันก็จะเริ่มลับขอบฟ้าแล้ว (ผมไปช่วงต้นหน้าหนาว ซึ่งมืดเร็ว แค่สี่โมงเย็นก็เริ่มฟ้ามืดแล้ว) ผมจึงเลือกที่จะใช้เวลาในชั่วโมงแรกในการเดินชมบริเวณสวนเพื่อเก็บความโรแมนติกของสวนสวยๆ พร้อมบรรยากาศหิมะโปรยเบาก่อน ซึ่งบริเวณสวนซาริซาน่านั้นใหญ่โตมาก ผมบอกตามตรงว่าเวลา 1 ชั่วโมงของผมเดินแทบไม่ทั่วเลยจริงๆ ประเด็นสำคัญคือมันสวยไปหมด อยากจะได้รูปทุกมุม จึงหมดเวลาไปกับการถ่ายรูปมากกว่า จุดที่สวยที่สุด (ในสายตาของผม 🙂 ) นั้นก็คือบริเวณสะพานข้ามบ่อน้ำภายในสวน ซึ่งบรรยากาศเงียบๆ ช่วงเย็นๆ ที่หิมะตกนั้น มันทำให้สะพานแห่งนี้ดูเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ชวนให้น่าหลงใหลเสียจริงๆ

24

สะพานข้ามบ่อน้ำภายในสวนและพระราชวังซาริซาน่า ที่ผมคิดว่ามุมนี้แหละสวยที่สุดของสวนนี้

36

ทางเดินอีกสักรูป (สงสัยผมจะเป็นโรคจิตอ่อนๆ ชอบถ่ายทางเดิน)

37

……คิดแคพชั่นไม่ออกล่ะ….. เอาเป็นว่าเซลฟี่กับทางเดินล่ะกัน

         หลังจากที่ฟ้าเริ่มมืด (แต่พิพิธภัณฑ์ยังไม่ปิดนะครับ) ผมก็เปลี่ยนบรรยากาศจากเดินเที่ยวสวนไปชมของสวยๆ งามๆ ในอีกรูปแบบหนึ่งภายในพระราชวังดูบ้าง โดยพระราชวังที่ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์นั้นแบ่งออกเป็นสองหลัง โดยอาคารตรงกลางระหว่างพระราชวังทั้งสองหลังนั้นเป็นอาคารสำนักงานและเคาน์เตอร์ขายตั๋วโดยตั๋วหนึ่งใบสามารถใช้เข้าชมได้ทั้งฝั่งพิพิธภัณฑ์และฝั่งพระราชวัง ผมใช้เวลาภายในพิพิธภัณฑ์ได้แบบชิลล์มากๆ เพราะวันนั้นเป็นวันธรรมดา (วันอังคาร) และเป็นเวลาในช่วงเย็น ผมประมาณคนที่เข้าไปพร้อมผมในเวลานั้นแล้วมีไม่น่าเกิน 10 คน ผมจึงใช้เวลาในการชมความงามของวัตถุโบราณและข้าวของเครื่องใช้ในวังสมัยก่อนที่แต่ละชิ้นสุดแสนจะหรูหราอลังการ (ขนาดช้อนหรือจานชามยังเน้นโทนสีทองเลย ไม่หรูได้ยังไง คิดดู) สมกับฐานะและพระเกียรติของพระนางแคเธอรีนอย่างมาก ไม่บอกก็รู้ว่าสมัยก่อนอาณาจักรรัสเซียนั้นรุ่งเรืองแค่ไหน

28

พระราชวังซาริซาน่าที่ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ ตั้งอยู่บนเนินที่สุงที่สุดของบริเวณแห่งนี้

29

ออฟฟิศขายตั๋วเข้าพิพิธภัณฑ์

30

รูปปั้นหน้าพระราชวังซาริซาน่า

31

ตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ราคา 350 รูเบิล

32

ห้องโถงใหญ่ภายในพระราชวังซาริซาน่า

33

เสา หน้าต่าง และเชิงเทียนที่ประดับประดาอยู่ทั่งภายในพระราชวัง

34

ภาพมุมมองจากหน้าต่างของพระราชวังซาริซาน่า

         ผมใช้เวลาอยู่ในพระราชวังซาริซาน่าประมาณชั่วโมงกว่าๆ เมื่อมองไปนอกหน้าต่างแล้วพบว่าฟ้ามืดดีแล้วก็ได้เวลาอันสมควร (ผมไปเที่ยวนะ ไม่ได้ไปประกอบมิจฉาชีพ) ประมาณห้าโมงครึ่งผมก็ได้เวลาไปตามนัดที่สัญญาผมตัวเองไว้เมื่อเช้า นั่นคือกลับไปเก็บภาพบรรยากาศจัตุรัสแดงยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงสีอีกรอบ โดยการนั่งเมโทรกลับไปทางเดิมก่อนที่เราจะมาพระราชวังซาริซาน่า ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็มาถึงจัตุรัสแดงตามกำหนดการเป๊ะๆ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจัตุรัสแดงยามค่ำคืนนั้น ผู้คนมาเยือนมากกว่ากลางวันเสียอีก ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเสน่ห์ของลานกว้างๆ กลางกรุงมอสโควแห่งนี้ มีดีที่เวลาหลังตะวันตกดินนั่นเอง

        ว่าแล้วผมก็ไม่รอช้า เดินเข้าไปใจกลางจตุรัสแดงเพื่อหามุมสวยๆ ถ่ายภาพบรรยากาศงามทันที เริ่มจากบริเวณใจกลางที่มองผ่านเข้าไปเห็นมหาวิหารเซนต์เบซิลก่อนเลย เพราะวิวนี้หากไม่ถ่ายไปแล้วล่ะก็ ไปเล่าให้ใครฟังว่าเคยมารัสเซียก็คงไม่มีใครเขาเชื่อแน่นอนครับ หลังจากนั้นก็ไล่ตามกำแพงพระราชวังเคลมลิน ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับที่เรามาชมสุสานวลาดิเมียร์เลนินเมื่อเช้า แต่บรรยากาศยามกลางคืนนั้นให้ความน่าสนใจไปอีกแบบชนิดที่เหมือนกับอยู่คนละโลเคชั่นเลย ส่วนอีกวิวที่พลาดไม่ได้ก็คือวิวของห้างสรรพสินค้ากุมและทางเดินหน้าห้างที่ประดับประดาไปด้วยไฟงดงามตระการตา โดยเฉพาะทางเดินหน้าห้างที่มีม้านั่งตั้งอยู่เป็นระยะๆ บริเวณกลางทางเดิน ให้ความรู้สึกเหมือนกับเดินอยู่ในเมืองของหนังรักโรแมนติกยังไงยังงั้น หากใครที่ไปเที่ยวเป็นคู่ไม่ควรพลาดที่จะมาเดินจูงมือและถ่ายรูปบริเวณทางเดินนี้ด้วยประการทั้งปวง

cimg0531

ชอบภาพนี้เป็นการส่วนตัว กว่าจะตั้งกล้องและหามุมนี้ได้ เล่นไปหลายนาทีเลย

C

วิหารเซนต์เบซิลมุมไกล จากกลางจัตุรัสแดง

Cover

วิหารเซนต์เบซิลที่อยู่ในรูปเดียวกับหอนาฬิกาเครมลิน มันช่างเข้ากันดีจริงๆ

E

รั้วกำแพงพระราชวังเครมลิน ที่มองมาจากจัตุรัสแดง

B

ทางเดินที่สุดโรแมนติก หน้าห้างสรรพสินค้ากุม

          ผมใช้เวลาอยู่กลางจัตุรัสแดงร่วมชั่วโมงครึ่ง ถึงแม้บริเวณโดยรอบจะไม่กว้างใหญ่มากนัก แต่โดยการเดินเพียงไม่กี่สิบก้าวนั้นอาจจะใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้ เพราะการเดินผ่านจัตุรัสแดงนั้น มันห้ามใจที่จะไม่ให้ถ่ายภาพอันสวยงามและอลังการไม่ได้จริงๆ เพราะทุกก้าวที่เดิน ทุกมุมมองที่เห็นมันงดงามไปหมดจนไม่อยากจะพลาดแม้แต่ซ็อตเดียว จนเมื่อเวลาประมาณทุ่มครึ่งก็ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์ที่ผมจะเดินทางไปยังสถานีรถไฟเพื่อขึ้นรถไฟนอนไปเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก แต่จัตุรัสแดงยังไม่จบนะครับ ผมขอติดค้างไว้สองอย่างที่ผมจะต้องกลับมาอีกครั้งในวันที่เที่ยวเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กกลับมาแล้ว วันสุดท้ายที่ผมจะมีเวลาอยู่ที่มอสโควอีกหนึ่งวันก่อนขึ้นเครื่องรอบค่ำกลับไทย ผมจะต้องมาเข้าชมวิหารเซนต์เบซิล (วันนี้เป็นวันพุธวิหารปิดไม่ให้เข้าชม) และเข้าไปเดินในห้างสรรพสินค้ากุมให้ได้ ดังนั้นฝากไว้ก่อนนะ Red Square ที่รัก อย่าเพิ่งไปไหนล่ะ อีก 3 วันเจอกัน

          ผมนั่งเมโทรไปลงสถานี KOMSOMOLSKAYA (КОМСОМОЛЬСКАЯ) สายที่ 1 (สีแดง) เพื่อที่จะไปสถานีรถไฟเลนินกราดสกี้ โดยสถานีรถไฟและสถานีเมโทรอยู่ติดกันเลย บริเวณรอบๆ สถานีก็มีร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ให้กินอยู่พอสมควร ฝากท้องแถวนี้ก็ได้ครับ ส่วนผมไปถึงนั่นประมาณสองทุ่มเศษๆ เหลือบไปเห็นร้าน KFC เล็กๆ อยู่ก็ตัดสินใจเข้าไปกินทันที (ผมไม่แคร์นะที่ต้องกินมันสองมื้อติด ลิ้นจระเข้อยู่แล้ว 😉 ) เพราะตอนนั้นต้องการความเร็วไว้ก่อนเพราะรถไฟออกสี่ทุ่มครึ่ง หลังจากที่บริโภคนักเก็ตเรียบร้อยก็ไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ เพื่อที่จะเอาอุปกรณืไปล้างหน้าล้างตาแปลงฟันให้เรียบร้อย อยากจะบอกว่าค่าเข้าห้องน้ำที่นี่ถือว่าแพงมากเมื่อเทียบกับเมืองไทยบ้านเรา คือค่าเข้าอยู่ที่ 60 รูเบิล หรือประมาณ 35 บาท แต่ถ้ามีตั๋วรถไฟไปโชว์จะได้เข้าฟรี ดังนั้นหากใครซื้อตั๋วออน์ไลน์ไปล่วงหน้า อย่าลืมพิมพ์ไปด้วยนะครับ เอาไปเบ่งบารมีหน้าห้องน้ำได้ 

F

สถานีรถไฟเลนินกราดสกี้ที่ผมจะใช้นั่งรถไฟไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในคืนนี้

          ปัญหาที่ผมพบอย่างหนึ่งขณะอยู่ที่สถานีรถไฟและรอรถไฟอยู่ก็คือ “ทั้งประกาศเสียงตามสายและป้ายโชว์ขบวนรถมีแต่ภาษารัสเซีย !!!!” จะมีแค่เวลารถออกและหมายเลขเที่ยวรถที่เป็นตัวเลขที่เราพอจะเดาได้ ดังนั้นดูเวลารถออกและหมายเลขเที่ยวรถเราให้ดีครับ พอก่อนเวลารถออกสัก 15 นาทีก็ไปรอที่ชานชาลาได้แล้ว เพราะรถไฟที่นี่ออกตรงเวลาเป๊ะๆ เมื่อถึงชานชาลาก็ต้องดูป้าย ไปถึงประตูรถไฟโบกี้ของเราก็เอาพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ดู เขาจะคีย์ข้อมูลใส่สมาร์ทโฟนของเขา ไม่จำเป็นต้องโชว์ตั๋วที่พิมพ์ไปก็ได้ เสร็จแล้วเราก็ไปหาที่นั่งที่นอนของเราในขบวนรถได้เลย แต่ดูดีๆ เข้าให้ถูกโบกี้นะครับ เดี๋ยวจะโดนไล่ที่ทีหลัง บนรถมีหมอนกับผ้าห่มให้ แต่ไม่มีอาหาร (ผมจองเป็นชั้น 2 หรือเรียกว่า คูเป้) และแต่ละห้องมีปลั๊กไว้ให้ 2 เต้าสำหรับชาร์จแบตโทรศัพท์ได้ แต่อย่าลืมเอาตัวพ่วงไปนะครับ เพราะปลั๊กรัสเซียไม่เหมือนบ้านเรา วันนี้ผมได้นั่งกับชายชาวรัสเซียวัยกลางคนสองคน ทั้งห้องมี 4 เตียง แต่ผู้โดยสารแค่ 3 คน (รวมผมแล้ว) พอรถเริ่มออกลุงแกสองคนก็ซัดว้อดก้าคนละขวดแล้วกินน้ำตามแล้วก็หลับกันในทันที เล่นเอาผมเหว๋อไปชั่วขณะ สงสัยกลัวนอนไม่หลับมั้งเลยต้องจัดกันขนาดนั้น ส่วนตัวผมเห็นลุงแกหลับก็ไม่รอช้า ปิดไฟแล้วราตรีสวัสดิ์ไปอีกคนด้วยความเหนื่อยอ่อนและต้องการเก็บแรงไปเที่ยวต่อวันพรุ่งนี้ See you tomorrow, Saint Petersburg !

G

ป้ายบอกขบวนรถไฟภายในสถานีรถไฟเลนินกราดสกี้ ที่มีแต่ภาษารัสเซีย T_T

H

ขบวนรถไฟที่ผมจะใช้นั่ง (นอน) ไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในคืนนี้ เป็นแบบสองชั้นครับ

I

J

บรรยากาศเตียงนอนและที่นอนภายในรถไฟชั้นสอง หรือ ภาษารัสเซียเรียกว่า “คูเป้”

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

 

SHIPY SIWARIT TIASUWATTISETH : เขียน

https://www.facebook.com/shipyshipdotcom

Advertisement

2 thoughts on “เที่ยวรัสเซียวันที่ 3 : เจาะลึกมอสโคว

  1. สวัสดีครับ รบกวนสอบถามเกี่ยวกับการฝากกระเป๋าครับ สมมติผมนอนโรงแรมแรกสองคืนในมอสโคว์ พอวันที่สามจะไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สามารถฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมที่เราพักสองคืนแรกได้มั้ย หรือว่าไปฝากตามสถานีรถไฟดีกว่าครับ หรือมีอีกวิธีเรามี booking โรงแรมอีกที่อีกสองคืนไปฝากเค้าก่อนจะได้มั้ยครับ? ขอบคุณครับ

    Like

    1. ฝากโรงแรมเดิมแล้วบอกว่าจะมาเอาช่วงบ่ายก็ได้
      หรือไปฝากไว้ที่ใหม่ก็ได้ครับ บอกเค้าว่าเดี๋ยวมาเช็คอิน
      สองวิธีนี้น่าจะฟรีครับ

      Like

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.